02/03/2021
ขอบคุณอาจารย์มากๆนะคะ
ผมได้ยินคำพูดตัดพ้อลักษณะแบบนี้ค่อนข้างบ่อย ซึ่งเป็นที่เข้าใจครับ เพราะเสียเงินนี่เนอะ ใครจะชอบ...เงินไหลออกกระเป๋าก็ออกอาการหงุดหงิดบ้างอะไรบ้าง แต่พอมาได้ยินจากสัตวแพทย์ด้วยกันเองก็เลยมาทบทวนดูว่า เอ๊ะ..หรือว่ามันแพงมากไปจริงๆ เอ๊ะ...หรือว่าจริงๆ คุณหมอที่พูดเขาไม่รู้ว่าค่าใช้จ่ายแต่ละบิลมันคิดมาจากต้นทุนอะไรบ้าง ทำไมเราถึงขายยาราคาสูงกว่าร้านขายยาใกล้บ้าน มันจะคิดราคายาเท่ากันได้จริงๆ เหรอ
วันนี้ผมก็เลยจะมาเล่าที่มาที่ไปของค่าใช้จ่ายที่โรงพยาบาลสัตว์ต้องแบกรับ โดยที่หมอจบใหม่หลายท่านอาจยังไม่เคยตระหนัก คุณๆ ที่อยู่ในฐานะหมอมืออาชีพจะได้เข้าใจถึงที่มาที่ไปของแต่ละยอดบิลครับ
1. เพราะโรงพยาบาลสัตว์คือธุรกิจชนิดหนึ่งเหมือนกัน
โรงพยาบาลสัตว์ก็คือธุรกิจที่เหมือนกันกับธุรกิจอื่นๆ ซึ่งย่อมมีต้นทุน และก็มีค่าใช้จ่ายที่สูงเอาการอยู่เสียด้วยครับ ยกตัวอย่างพอเป็นกระษัยแล้วกันครับ เช่น ค่าเช่าอาคารรายเดือน เดี๋ยวนี้ถ้าในกรุงเทพก็หลายหมื่นบาท ผมได้ยินบางที่เป็นแสนต่อเดือนเลย (ถ้าอยู่ในเมืองชั้นใน) เราต้องจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าอินเตอร์เน็ตเช่นเดียวกัน แถมจะต้องจ่ายสูงกว่าด้วยครับ เพราะเครื่องมืออุปกรณ์ไฟฟ้าเราต้องใช้ไฟมากกว่าบ้านเรือนทั่วไป ราคาค่าไฟเป็นแบบก้าวหน้าจึงสูงกว่า
แถมว่าเดี๋ยวนี้ เจ้าของสัตว์พาสัตว์มาหาหมอก็อยากให้ทราบผลเลยว่าป่วยเป็นอะไร ไม่ต้องถูก refer ไปรอคิวที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ เรียกได้ว่าอยากเริ่มและจบในที่เดียวเลย ทำให้ในปัจจุบันโรงพยาบาลส่วนใหญ่ต้องลงทุนเรื่องเครื่องมือทางการแพทย์ที่มีราคาสูงมากอย่างไม่น่าเชื่อ แต่เราไม่สามารถเก็บเงินได้เท่ากับโรงพยาบาลคน อย่าลืมนะครับว่า แม้เครื่องมือของเรากับของหมอคนจะเหมือนกัน แต่เราใช้จำนวนบุคลากรในการจัดการแต่ละขั้นตอนมากกว่า คนพาตัวเองไปตรวจกับหมอได้ มี technician คนเดียวดำเนินการก็ทำได้ แต่สัตว์ต้องมี technician ช่วยจับอย่างน้อยๆ ก็ 2 คน บางตัวต้องวางยาต้องมีคนดูเครื่องดมยาอีก นั่นจึงทำให้การพาสัตว์มาหาหมอ มีต้นทุนสูงกว่าคนใน procedure เดียวกัน
2. คลินิกสุนัขและแมว ลงทุนสูงกว่าที่คิดนะ...เชื่อไหม
ทราบไหมครับว่า เดี๋ยวนี้เครื่องเอกซเรย์มือหนึ่งเครื่องเดียวรวมตัวรับแปลงเป็นภาพ (CR, DR) ราคารวมแล้วมีตั้งแต่ 1,000,000 ถึง 2,000,000 บาท เครื่องอัลตราซาวด์ถ้าให้ดีหน่อยไม่ใช่ภาพผีหลอก ก็ราคาประมาณเดียวกัน ราคาเครื่องมืออื่นๆ อีก เช่น เครื่องมือทำฟัน (ขูด กรอ ตัด) ซึ่งที่โรงพยาบาลสัตว์ก็มีเกือบทุกอย่างเหมือนกับคลินิกทันตกรรม อุปกรณ์ผ่าตัดเหมือนโรงพยาบาลคน อุปกรณ์ตรวจแลปต่างๆ ซึ่งบางเครื่องขนาดว่าผลิตจากจีน เช่น เครื่องตรวจค่า CBC ก็ 3-5 แสนบาทแล้ว ยิ่งถ้าเป็นของตะวันตกก็ล้านกว่าบาท เครื่องตรวจ blood chem อีกหลายแสนบาท เครื่องเหล่านี้ราคาสูสีกันกับของคนเลย ในทุกกระบวนการที่มีความเจ็บปวดเราต้องวางยาสลบหมด ทำฟันก็ต้องวางยา อัลตราซาวด์บางครั้งก็ต้องวางยา สวนปัสสาวะกรณีนิ่วอุดตัน ก็ต้องวางยา เครื่องดมยาจึงต้องมี
รวมไปถึงคลินิกทันตกรรมของสัตวแพทย์มีการวางยาในหลายกรณีครับ เครื่องดมยาเครื่องหนึ่งเดี๋ยวนี้ถ้าเอาปลอดภัยอาจต้องมี ventilator ด้วย ราคาขั้นต่ำ (made in ประเทศเดิม) ก็ 3-4 แสนบาทขึ้นไป ถ้าเป็นของฝรั่งก็เฉียดล้าน up ที่กล่าวมานั่นก็เป็นต้นทุนที่ต้องจ่ายทั้งนั้น ดังนั้นบอกมาว่า “เอกซเรย์ในสัตว์...โห...แพงกว่าคนอีก” “โห...หมาขูดหินปูนแพงกว่าคนอีก” ฟังแล้วก็คงรู้สึกเซ็งกันบ้าง...และนี่คงเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้วิธีการขบหินปูนโดยไม่วางยาเกิดขึ้น ทั้งที่รู้ว่าเสี่ยงอันตรายจากการจับบังคับ แถมการขูดแค่ตรงส่วนเหนือขอบเหงือกกับการไม่ได้ขูดเลย ผลต่อสถานการณ์โรค periodontal ก็ไม่ต่างกัน แค่ดู pseudo-beauty จนเกิดความชะล่าใจว่าฟันยังดีอยู่เท่านั้น
3. คนทำงานก็ต้องมีเงินเดือน
สัตวแพทย์ทำงานคนเดียวไม่ได้ แน่นอนครับว่าต้องมีผู้ช่วยสัตวแพทย์ ต้องมี technician ทุกคนล้วนมีค่าจ้างหรือเงินเดือนพนักงาน technician ระดับป.ตรีที่เดี๋ยวนี้ขั้นต่ำเขาก็ให้กัน 80-100 บาทต่อชั่วโมง ส่วนผู้ช่วยฯระดับ ปวช. ปวส. ก็อาจต่ำกว่านี้หน่อย สัก 60-80 บาทต่อชั่วโมง ซึ่งก็ถือว่าเดือนๆ หนึ่งก็มีค่าจ้างสูงถึง 12,000-20,000 บาทต่อคนต่อเดือน นี่ยังไม่รวมค่าล่วงเวลา (OT)
ส่วนเงินเดือนสัตวแพทย์เราก็ไม่ได้มากมาย สัตว์แพทย์จบใหม่มีรายได้ประมาณ 25,000 บาทเท่านั้น (กรณีทำงานแบบ full time จำนวน 40 ชม.ต่อสัปดาห์นะครับ) แม้ว่าจะต้องทำงานหนักเหมือนกัน วันละ 10-12 ชั่วโมง บวกกับความเสี่ยงถูกกัด ถูกข่วนอีก และยังต้องเจอกับเรื่องเครียดเพราะว่ามีสัตว์อาการหนักในวอร์ด และอารมณ์เจ้าของสัตว์ที่ต้องเผชิญกับความสูญเสียอีก มันไม่ได้สวยงามเหมือนในการ์ตูนนะครับ ทั่วโลกพบสถานการณ์แบบนี้เหมือนๆกัน ถ้าหากเรามาทำงานสัตวแพทย์เพราะเงินเป็นหลัก ผมว่าเราคงเลิกทำกันไปแล้ว
แต่เพราะว่าสัตวแพทย์อย่างพวกเราต่างรักและมีความสุขที่จะช่วยเหลือสัตว์ที่น่าสงสารมากกว่า หมาแมวป่วยมันก็ยังดูน่ารักนะ มันน่าสงสารตรงที่มันพูดไม่ได้ บอกไม่ได้เหมือนเรา เจ็บปวดตรงไหน อาการเป็นยังไงก็พูดก็บอกไม่ได้สักอย่าง
กลับมาเรื่องเงินกันต่อ ดังนั้นเมื่อค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนมันสูงกว่าคลินิกหมอฟัน หมอรักษาผิวหนังผิวหน้า ราคาค่าใช้จ่ายเพื่อให้อยู่ได้ก็ย่อมสูงกว่าเช่นกันเพื่อจะได้สามารถแบกรับค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนได้ เพราะหากจ่ายไม่ไหวเราก็ต้องเลิกกิจการไปเท่านั้นเอง ทำธุรกิจก็ต้องมีกำไร คนเขาเอาเงินมาลงทุนใครๆ เขาก็หวังผลกำไรกันทั้งนั้นครับ
4. ไหนจะค่าใช้จ่ายที่เราคาดไม่ถึงอีก
ภาษีป้าย ภาษีโรงเรือน ค่าแม่บ้านทำความสะอาด ค่าซ่อมบำรุงอุปกรณ์ สาธารณูปโภคต่างๆ ค่านักบัญชี ค่าทำบัญชี ค่าโปรแกรม software บริหารจัดการ ค่า maintenance เครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ ภาษีประจำปี ประกันสังคม ประกันกลุ่ม ให้ลูกน้องที่รัก ค่า...ค่า...ค่า...ค่า...โอ้ย สารพัดที่เรียกเก็บจากลูกค้าไม่ได้ แต่ต้องจ่ายนะครับ ไม่จ่ายก็เปิดกิจการต่อไม่ได้ เนี่ย...แล้วจะไม่ให้ราคาแพงกว่ายาที่ซื้อจากร้านขายยาข้างบ้านได้ไง อันนี้แอบวิงวอนไปยังท่านเจ้าของสัตว์ป่วยที่บังเอิญผ่านมาอ่านด้วยครับ ผมอยากให้เข้าใจคุณหมอเจ้าของกิจการเหมือนกัน
5. นี่ยังไม่นับหมาแมวที่ถูกทิ้งไว้ในวอร์ดอีกนะ
เจ้าของหลายท่านที่ประสงค์ดี สงสารสัตว์ เห็นแมวหมาข้างทางอาการแย่ก็เก็บมา บางท่านผมนับถือน้ำใจนะ เพราะช่วยด้วยใจ แถมค่าใช้จ่ายนี่ก็ไม่เคยที่จะอิดออด สังเกตได้เลยครับว่าเธอสวยออกมาจากภายในเลย อันนี้ข้าพเจ้านับถือมาก มีอะไรที่พอช่วยประหยัดให้ได้ มียาบริจาคก็จัดให้เต็มที่สุดแรงเกิด
แต่ก็มีกับอีกบางท่านที่ประสงค์ดีเหมือนกัน สงสารสัตว์จับใจแต่ไม่สงสารหมอเลย เอาเข้ามาวางหน้าร้าน แล้วจากไป เอามาให้แล้วแค่เล่าอาการให้ฟัง จ่ายเงินก้อนพอเป็นกระษัย แล้วหายหน้าขาดการติดต่อไปเฉยๆ...แล้วหมอต้องทำไงต่อล่ะครับทีนี้ คงต้องเลี้ยงกันจนจากกันไปข้างหนึ่ง ไม่หมอตายก่อนก็หมาตายก่อน สุดท้ายเต็มวอร์ดสิครับ...รออะไร อาหาร ยา ค่าเลี้ยงดู พื้นที่ที่จะเอาไว้ให้หมาแมวมีเจ้าของรายอื่นๆ เป็นอันจบ รายจ่ายเหล่านี้แบกไว้บนบ่าจนเดินขาขวิดกันไปมาแล้ว ถ้าเป็นฝรั่งคงส่งไปยังสถานรับเลี้ยงสัตว์จรของรัฐ ซึ่งสักพักหากหาบ้านไม่ได้ เขาก็ฉีดยาให้หลับหมด ซึ่งเชื่อว่าเป็นทางเลือกที่คุณหมอสัตวแพทย์ทุกท่านคงไม่อยากทำแน่ๆ
คงเห็นกันแล้วนะครับว่ามีแต่ค่าใช้จ่าย และต้องจ่ายเสียตั้งแต่ยังไม่มีรายได้เลยด้วยซ้ำ นี่ยังมีต้นทุนอีกบานตะไทที่ยังต่อคิวรอรับการชำระ วันนี้คงจะพอทำให้คุณหมอทุกท่านเห็นภาพรวมกันนะครับ แล้วในตอนต่อไปผมจะมาเล่าให้ฟังต่อครับว่า แล้วเมื่อค่าใช้จ่ายสูงจนต้องตั้งราคาสูงแล้ว...เราจะต้องทำอย่างไรถึงจะมีลูกค้ามาใช้บริการกิจการของเรา
บทความโดย : ผศ. น.สพ.ศิราม สุวรรณวิภัช
ติดตามเพิ่มเติมได้ที่ : VetSikkha
อ่านบทความฉบับเต็มได้ที่ : https://www.readvpn.com/Topic/Info/d97f4bbd-3fbb-4189-8a57-3cf6176e0b6c