28/12/2021
มาๆ ครับ เปิดจำหน่าย ไส้เดือน AF จำนวน 3-4 กิโล ในราคา 500 บาทถ้วน ไส้เดือนเหลือจากขยาย ไม่ใช่เหลือคัดครับ ตัวใหญ่ๆ
เราเน้นจับและคัดเลือก เฉพาะตัวไส้เดือน 1 กืโลไม่รวมดินจริงๆ สนใจติดต่อ �0898944895 หรือ 0982586488
(12)
มาๆ ครับ เปิดจำหน่าย ไส้เดือน AF จำนวน 3-4 กิโล ในราคา 500 บาทถ้วน ไส้เดือนเหลือจากขยาย ไม่ใช่เหลือคัดครับ ตัวใหญ่ๆ
วันนี้มีเรื่องแจ้งระวังมาฝากครับ
แก้ปัญหาเรื่องมดขึ้น ในเบ็ดดิ้ง
ขอเน้นและเพิ่มเนื้อหาเพิ่มเติมจากคลิปเล็กน้อยนะครับ
1. อย่าฉีดจี้ ให้ฉีดโฉปๆ ช่วงสายๆ ประมาณ 7 โมงเช้าขึ้นไป จนถึงบ่าย 2
2. ฉีดแล้วรดน้ำได้ไหมกลัวรดแล้วละอองเคมีจะทำไส้เดือนตาย → รดได้ครับ ไม่มีปัญหา
3. ฟาร์มทดสอบนานแค่ไหน ถึงเอามาสาธิตให้ดู →ผมทำมาประมาณ 2-3 อาทิตย์แล้วครับ อาทิตย์หนึ่งก็ ราวๆ 2-3 ครั้ง
4.เน้นให้อากาศ โปร่ง อย่าทำในที่ทึบ ฉีดแล้วให้กลิ่น และละออง โดนลมตีออกไปได้
อีกสัก 2-3 เดือน ทางเพจ จะกลับมาเปิดจำหน่ายอีกรอบนะครับ หลังจากหยุดไปนาน ซึ่งหยุดไปก็ไปทำสวนผลไม้ กับรับงานอื่น ซึ่งหลังจากนี้จะมีเวลาว่างสำหรับขยายและเลี้ยงไส้เดือนเหมือนเคย
ต้องขอโทษลูกค้าด้วยครับ ที่ผมไม่ได้ตอบแชท หรือโทรมาแล้วไม่ได้ไส้เดือนกลับไป ยังไงอีกราวๆ2-3เดือนกลับมาขยายพันธุ์จำหน่ายแน่นอนครับ ราคายังอยู่เท่าเดิมกิโลล่ะ 350 บาท และชั่งเต็มๆกิโล ไม่ปนดินเหมือนเดิมครับ ลูกค้าเก่าที่เคยซื้อไปจะรู้ว่า เราชั่งแบบไหน...
สวัสดีครับ หายไปจากเพจนานเลย กลับมาเสริมความรู้กันสักนิด ขอกลับไปที่การเลี้ยงกุ้งก้ามแดงกันบ้าง เนื่องจากลูกค้าเข้ามาซื้อไส้เดือนแล้วเห็นที่ฟาร์มเลี้ยงกุ้งด้วย เลยสอบถามกันตลอด ซึ่งแต่ล่ะท่านที่เข้ามาได้อ่านกันมาจากใน google กันซึ่งขอแจ้งว่า บางทีการเลี้ยงจริงๆ กับบทความมันก็ไม่ได้เหมือนกันเป๊ะช่ะทีเดียว ผมขอนำปัญหาที่แต่ล่ะท่านที่เข้ามามาเขียนลงในหน้าเพจนะครับ
#ถาม : ค่าPH ที่สูงๆ เช่น 8.5-9.5. สามารถเลี้ยงกุ้งก้ามแดงได้ไหม แล้วจะมีปัญหาอะไรไหม จะแก้ไขอย่างไรได้บ้าง
#ตอบ : เลี้ยงได้ครับ แต่กุ้งอาจจะกินไม่ดีเท่าไหร่แต่เลี้ยงได้ครับ ปัญหาอาจจะมีบ้าง เช่นการลอกคราบ บางตัวที่อ่อนแอ อาจจะติดคราบตายบ้าง วิธีการ ก็การพักน้ำให้น้ำก่อนที่จะเข้าบ่อได้ถูกแดดสัก 2-3 วันหรือเพิ่มปริมาณอ๊อกซิเจนมากๆ ในบ่อ แล้วอาจใส่ สาหร่ายลงไปในบ่อ หรือถ้าPH มีค่าที้สูงมาก อาจจะใช้ ฟอร์มาดีไฮร์ ควาทเข้มข้น 40% ผสมน้ำเล็กน้อยแล้วสาดลงไปในบ่อ อัตราส่วนที่ใช้ 25 cc ต่อน้ำ 1,000 ลิตร. ค่อยๆ ลด PH ลงทีล่ะ 0.5-1 นะครับ อย่าลดทีล่ะ 2 กุ้งที่ทนต่อการที่ค่าน้ำเปลี่ยนแปลงเร็วอาจจะตาย
#ถาม : เห็นเขาใส่ปลาสอดกัน เพื่อป้องกันลูกยุงจะดีไหม
#ตอบ : ไม่ดีครับ ปลาสอด ปลาหางนกยุง. จะกินลูกกุ้งตัวเล็กๆที่เพิ่งลอกคราบ หรือแม่ไข่ตามท้องเลยทีเดียว
#ถาม : เราจะรู้ได้ไงว่ากุ้งกำลังจะลอกคราบ
#ตอบ : ถ้ากรณีที่เราเปลี่ยนน้ำใหม่ ในวันที่ 1. ในวันที่ 2-4 ให้เริ่มดูกุ้งได้เลยครับ บางตัวจะลอกคราบ แล้วตัวไหนที่จะลอก ก็ให้ดูจากรอยต่อของเปลือกหลีงกับหัวครับ มันจะมีร่องให้เห็นชัดเจน กุ้งไชด์เล็กลงเดินมา 1-3 วันอาจจะลอกคราบ ไชด์1 นิ้วอาจจะลอกทุก ๆ 4-7 วัน ไชด์ 1.5- 3 นิ้ว ก็ 15-30 วัน ไชด์3.5 -5 นิ้วก็ถ่างไปเป็นเดือนๆ ครับ แต่การเปลี่ยนถ่ายน้ำใหม่ก็เป็นตังเร่งให้ลอกคราบได้เช่นกัน บางตัวก็อาจจะลอกคราบเพราะน้ำใหม่ทำให้เกิดการระคายเคืองแล้วกุ้งจงลอกคราบ ถ้าเกิดการสะสมอาหารไม่เพียงพอก็อาจจะลอกคราบไม่ผ่าน
#ถาม : แล้วจะทำยังไงกับกุ้งที่เราเห็นว่าจะลอกคราบ
#ตอบ : หาอะไรที่เป็นตาแกรง หรือ ตะกร้าพลาสติกมีรูก็ได้ครับ ครอบตัวกุ้งไว้ จนกว่าเขาจะลอกคราบ พอลอกคราบแล้ว ก็ครอบไว้แบบนั้นอีกสัก 2 วันให้เขากินคราบตัวเอง หรือให้เขาเปลือกแข็งแล้วจึงปล่อยออกมา กุ้งไชด์ขนาด 4" ขึ้นไป เปลือกจะแข็งช้ากว่ากุ้งขนาดเล็ก ซึ่งอาจกินเวลาเป็นอาทิตย์ แต่ 2 วันก็ปล่อยออกมาได้แล้วครับ ไม่เป็นอันตรายต่อตัวเขาแล้ว
คราวหน้ากับมาพบกับความรู้กับฟาร์มไส้เดือนและกุ้งก้ามแดงบ้านอ่างทอง และ คำถาม/คำตอบกันได้ใหม่ครับ สำหรับวันนี้ พอแค่นี้ก่อน เดี้ยวข้อความจะยาวเกินไป สวัสดีครับผม
ขอเอาคำถามเรื่อง เทคนิดทำยังไงให้ไส้เดือน กับ กุ้ง โตเร็วๆ มาตอบในนี้นะครับ บางส่วนตอบใน inbox ไปบ้างแล้ว...
มาเริ่มกันที่ ของถนัดก่อน #ไส้เดือน
#วิธีทำยังไงให้ไส้เดือน(AF) ที่เลี้ยงไว้โตเร็วๆ
1. เริ่มที่ปรับปรุงพันธุ์ก่อน หาไส้เดือนจากฟาร์มอื่นมาหยอดใส่ในฟาร์มเราบ้าง ไม่จำเป็นต้องเยอะ เช่น ถ้าเราเลี้ยงเป็นกะละมังใบล่ะ 20 บาท ปกติใส่ไส้เดือนที่ 2 ขีด ก็ใส่ของฟาร์มอื่นสัก 20-30 ตัวลงไปเพิ่ม เน้นตัวขนาดสักวัยรุ่นขึ้นไปหน่อย ก็ราวๆ สักหลอดยาคูลย์
2. ใส่อาหารเสริมอื่นๆ บ้าง เดือนล่ะ 1-2 ครั้ง เช่น มะละกอสุก กล่วยสุก กากถั่วเหลือง รำละเอียดผสมกากน้ำตาลอ่อนๆ หรือเศษผัก
3. เลือกขี้วัวที่มีคุณภาพ ไม่เป็นก้อน และแข็ง หรือมีสภาพเปียกแฉ่ะ การแช่ขี้วัวต้องแช่นานจนอ่อนนิ่ม และไม่ร้อน(แต่ก็ไม่ควรนานจนเป็นเดือนๆ)
4. ใส่ไส้เดือนให้พอดีกับภาชนะเลี้ยง ไม่หนาแน่นหรือน้อยจนเกินไป รวมถึงใส่ปริมาณขี้วัว(เบ็ดดิ้ง)ให้สูงไม่มากจนเกินไป
5. ในระยะเวลาที่เลี้ยงหมั่นพลิกกลับเบ็ดดิ้งบ้าง ไม่ควรให้แข็ง หรือจับตัวเป็นก้อน และความชื้นต้องเหมาะสมไม่เปียกหรือแห้งเกินไป ใน 1 เดือน พลิกกลับสัก 1-2 ครั้ง
6. ใน 6-8 วันให้นำมูลไส้เดือน ที่อยู่บนภาชนะที่เลี้ยงออก เพราะการเก็บมูลไส้เดือนออก จะทำให้ไส้เดือนขยันที่จะกิน และกินดียิ่งขึ้น
#วิธีการเลี้ยงกุ้งให้โตเร็วๆ ขอพูดถึงบ่อปูน บ่อพลาสติก ( บ่อดินไชด์นิ้ว เน้นให้อาหารบริเวณตามขอบบ่อ และการให้อ๊อกซิเจนก่อนอาหาร 30 นาที และให้อ๊อกซิเจนหลังอาหาร 60 นาที และค่อนข้างมีเทคนิดอีกเยอะ ซึ่งไม่ขอพูดถึง)
ส่วนนี้ขอพูดถึง กุ้งลงเดิน จนถึง ไชด์ 3.5"
เพราะไชด์อื่นๆ ก็ไม่ต่างกัน โตตามเวลา และอายุ อาหารและสภาพแวดล้อม ไม่ต่างกันเท่าไหร่
1. น้ำเลี้ยงค่า PH KH และ อัลคาร์ไลน์ มีส่วนสำคัญในการเลี้ยง ดังนั้น นานๆ ควรที่จะวัดบ้าง เพราะการเจริญเติบโตของกุ้งอาศัยการลอกคราบ ถ้าน้ำเลี้ยงไม่เหมาะสมแล้ว กุ้งก็จะอั้นคราบ หรือลอกคราบไม่ออก หรือ ไม่ค่อยกินอาหาร
2. อ๊อกซิเจนในน้ำต้องเพียงพอ
3. เน้นสภาพแวดล้อม ที่ค่อนข้างจะสลัวๆ ไม่สว่างจนเกินไป เพราะกุ้งจะไม่ยอมออกมากินอาหาร ซึ่งจะออกมาก็ตอนเมื่อ มืดแล้ว ดังนั้นถ้าบ่อมีลักษณะมืดๆ กุ้งจะออกมาหากินตลอดทั้งวัน
4. ควรที่จะเปลี่ยนอาหารบ้าง ไม่ควรให้อาหารชนิดเดิมๆ ซ้ำๆ ถึงแม้ว่าอาหารนั้นจะดี ราคาแพง มีสารอาหารครบถ้วน แต่กุ้งก็เบื่ออาหาร และกินน้อยลง ทำให้สะสมอาหารไม่เพียงพอ ควรที่จะให้สลับกัน อาทิตย์ล่ะครั้ง หรือวันเว้นวันก็ได้
5. เมื่อไชด์พอจะคัดเพศได้ ควรที่จะจับแยกตัวผู้ - ตัวเมีย แยกเลี้ยงเพศล่ะบ่อ จนไปถึงไชด์ 4.5 แล้วค่อยจับผสม
6. ไม่ควรใส่กุ้งหนาแน่น เพราะนอกจะเสียหายแล้ว กุ้งยังกลัวที่จะเดินออกมากินอาหารอีก
7. แร่ธาตุ ให้ดูตามความเหมาะสมของน้ำเลี้ยง ว่าขาดแร่ธาตุอะไร แล้วจึงเติมแร่ธาตุที่ขาดเหล่านั้นลงไปในน้ำที่เลี้ยง ( สามารถนำน้ำไปตรวจสอบได้ที่กรมประมง ไม่เสียค่าใช้จ่าย ก่อนเก็บตัวอย่างน้ำ ควรที่จะสอบถามกรมประมงถึงวิธีเก็บตัวอย่างน้ำที่ถูกต้องเสียก่อน เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา)
8. ตั้งแต่จับกุ้งเข้าผสม ควรที่จะอัดของสดให้กุ้งกิน เช่น ไส้เดือน ซึ่งนอกจากจะมีส่วนทำให้ไข่ดกแล้ว ยังทำใฟ้ได้ลูกกุ้งที่แข็งแรง และโตเร็ว
9. ในไชด์ลูกกุ้งลงเดิน ควรให้ไข่แดงต้มสุก หรือ โปรตีนจากเต้าหู้ไข่ หรือเอาทั้งสองอย่างผสมกันได้
#คำเตือน
(ในไชด์ลงเดิน ไม่ควรที่จะใส่แร่ธาตุ และควรใส่เกลือลงในน้ำแค่ปริมาณเจือจางมากๆ แค่นั้นพอ )
วันนี้เรามาเรียนรู้ค่าของน้ำสำหรับเลี้ยงกุ้งกันกัน ใครคิดว่าไม่สำคัญ อ่านผ่านๆ ตาไว้สักนิดก็ได้ครับเผื่อวันหนึ่งมีปัญหาจะได้นึกออกว่าควรที่จะเริ่มต้นแก้ไขปัญหาอย่างไร
ก่อนอืานมารู้จักค้่ของน้ำกันก่อนว่ามีอะไรบ้าง
ค่า GH
ค่า GH ของน้ำ คือ ระดับแคลเซียมคาร์บอเนตในน้ำ ซึ่งก็คือระดับความอ่อนหรือกระด้างของน้ำนั่นเอง ค่า GH เท่ากับ 1 หมายความว่ามีคาร์บอเนตในน้ำ 17.8 mg/L ยิ่งมี แคลเซียมคาร์บอเนตมากเท่าไร ก็ยิ่งกระด้างมากเท่านั้น
GH ความหมาย
0-4 อ่อนมาก
4-8 อ่อน
8-12 ปานกลาง
12-18 กระด้าง
18-30 กระด้างมา
ค่า KH
ค่า KH คือ ความสามารถของน้ำในการทำตัวเป็น Buffer น้ำที่มี KH มาก จะมีความเสถียรสูง หมายความว่า เวลาเราเติมสารที่เป็นกรดหรือด่างลงไปในน้ำนั้น ค่า pH จะไม่ค่อยเปลี่ยน ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี เพราะปลาไม่ชอบน้ำที่มีค่า pH เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง บางคนเรียก KH ว่า alkalinity หรือ carbonate hardness ครับ
ซึ่งแน่นอนว่าค่าน้ำในแต่ล่ะบ้าน ย่อมไม่เท่ากัน ในโพสต์ก่อนๆ ผมเคยพิมพ์ในเรื่องของค่า PH และ ค่า alkalinity ที่เหมาะสมไปแล้ว
ซึ่งถ้าค่าต่างๆ ในบ่อเลี้ยง ไม่เป็นไปตามที่ ค่ามาตรฐานในการเลี้ยงกุ้งที่กำหนดไว้ เราสามารถทำการปรับแต่งค่าน้ำได้เอง
ถ้าต้องการปรับค่า pH ให้ได้ค่าน้ำที่นิ่งไม่ควรใช้วิธีเติมกรดหรือด่างเข้าไปในน้ำโดยตรง แต่ควรใช้วิธีปรับค่า KH แทนจนกว่าจะได้ค่า pH อยู่ในช่วงที่พอใจ แต่ก็เป็นวิธีที่ช้า
ในกรณีที่น้ำเป็นด่างสูง
วิธีการปรับค่า KH เพื่อลด pH ทำได้โดยการอัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงในน้ำ เพราะก๊าซคาร์บอนไดร์อ๊อกไชด์จะทำปฎิกิริยาในน้ำจนค่า alkalinity ลดลง ซึ่งก็จะมีผลต่อ การลดของค่า PH ด้วย ให้สังเกตุง่ายๆ โดยลองเอา พืชน้ำจำพวกสาหร่ายเลี้ยงในบ่อเลี้ยงกุ้ง ตอนสายๆ แล้ววัดค่า alkalinity จะได้ค่า alkalinity ที่สูง และ ค่า PH ที่สูงด้วย แต่ถ้าวัดตอนที่มืด สัก 3-4 ทุ่ม พืชจะคายคาร์บอนไดร์อ๊อกไชด์ และ ค่า alkalinity จะลดต่ำลง รวมถึงค่า PH
แต่ถ้าเป็นวิธีที่ยุ่งยากจนเกินไป เราอาจจะ
1. เอาน้ำตาลทราย 1 กิโล กับน้ำตั้งไฟให้แค่น้ำตาลทรายละลาย
แล้วทิ้งให้เย็นตัว ใส่จุนลิทรีย์ที่ไม่ต้องการ อากาศ ก้ EM นั้นแร่ะ ทิ้งไว้ให้ฟองอากาศหาย ก้ราวๆ 1 อาทิตย์ จากนั้นเทลงบ่อที่มีน้ำปริมาณ 1 ตัน ถ้าน้ำน้อยกว่าก้ลดอัตราส่วนลงไป จุนทรีย์จะช่วยทำให้น้ำกระด่างลดลง ที่ไม่ให้ใช้กากน้ำตาลเพราะมันไม่บริสุทธิ์
2. เอาฟอรืมาลีน ผสมน้ำแล้วราด ปริมาณ 0.2 เปอร์เซ็นต์ หรือน้ำ 100 ลิตรต่อ ฟอร์มารีน 2 cc
3. หรือใช้บ่อพักน้ำที่เป็นบ่อดิน หรือ บ่อพลาสติก แล้วใช้หัวทรายเพื่อตีอ็อกซิเจนในน้ำแต่วิธีนี้ไดเผลที่ช้า ได้ผลกับน้ำที่มีค่าคลอลีนมากกว่า แต่ถ้าพักบ่อดิน ถ้าดินมีความเป็นกรดก็จะช่วยทำให้น้ำมีความกระด่างลดน้อยลง
4. หรือบางคนใช้น้ำส้มสายชูผสมน้ำ แล้วค่อยๆ ปรับ PH วันล่ะ 0.5 จนกว่าจะได้ค่า PH ที่เหมาะสม
ในกรณีที่น้ำมีความเป็นกรดมาก
วิธีการปรับค่า KH เพื่อเพิ่ม pH ทำได้โดย การใส่วัสุดกรองลงในน้ำ เช่น พวกเปลือกหอยนางรม หรือ ปะการัง
หรือถ้าจะใช้วิธีอื่นก็มีดังนี้
1. น้ำปูนขาว เอาน้ำเทใส่ปูนขาวแล้วคนให้ละลาย รอจนตกตะกอน เอาแต่น้ำใสๆ เทลงในบ่อจนกว่า ค่า alkalinity จะลดลง
2. ใส่แร่ธาตุ รวม หรือพวก แคมเซียม หรือ แมกนีเซียมลงในบ่อ
3. ใส่พวกปูนโลโมไมด์
สรุป
ถ้า PH ต่ำหรือสูงเกินไป จะมีผลต่อการเจริญ
เติบโต นอกจากนั้นปริมาณ alkalinity ที่ต่ำและสูงเกินไป ยังมีผลต่ออัตรารอดและการเติบโตของกุ้งด้วย
PH ที่เหมาะสมในตอนเช้าประมาณ 7.5-8.0 PH ในตอนบ่ายไม่ควรจะสูงเกินกว่าตอนเช้ามากนักไม่ควร
เกิน 0.8 (ในอดีตใช้ 0.5 แต่ในความเป็นจริงคิดว่าทำได้ยากมาก) ค่าที่แตกต่างเกิน 0.5 แต่ไม่ถึง 1.0 ถ้าเป็น
ค่า PH ของน้ำในกรณีที่PHตอนเช้าต่ำกว่า 7.5ถ้าเป็นบ่อที่เพิ่งปล่อยลูกกุ้งและมีน้ำใสอาหารธรรมชาติจะมี
น้อยกุ้งจะโตช้าอัตรารอดอาจจะต่ำควรที่จะเติมวัสดุปูนเช่นถ้า PH ของน้ำตอนเช้า 7.2 เติมปูนขาว 10
กิโลกรัมต่อไร่ในตอนเช้าและอาจจะเติมโดไลไมท์ ในเวลาประมาณ 9-10 โมงเช้า จะทำ
ให้ PH และสีน้ำดีขึ้น ไม่ควรปล่อยให้พีเอชในตอนเช้าต่ำกว่า 7.5 สำหรับบ่อที่กุ้งยังมีขนาดเล็ก บ่อที่กุ้งมีอายุ
มากขึ้น PH ตอนเช้าควรอยู่ระหว่าง 7.5-7.8
PHของน้ำสูงมาก คือ ตอนเช้าเกิน 8.3 มักจะพบในพื้นที่ความเค็มต่ำ ควรลด PH ลงมาโดยใช้ฟอร์มาลิน
หรือสารที่เป็นกรด ลด PH ทีละน้อยเพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในบ่อ ให้ PH ของน้ำตอนเช้าไม่
เกิน 8.0 จะสังเกตเห็นว่ากุ้งลอกคราบและกินอาหารเพิ่มขึ้นถ้าไม่สามารถลด PH ลงได้ กุ้งจะโตช้ามาก
ถ้าอัลคาไลน์ต่ำไม่เกิน 50 ppm ค่า PH ตอนเช้าต้องไม่ต่ำกว่า 7.5 ถ้าปล่อยลูกกุ้งในบ่อที่น้ำมี PH ต่ำกว่า 7.5
และอัลคาไลน์ต่ำกว่า 50 ppm ลูกกุ้งจะลอกคราบไม่ออก อัตรารอดจะต่ำมากสามารถสังเกตได้ภายในไม่เกิน 3 สัปดาห์
หลังจากปล่อยลูกกุ้ง การแก้ไข เติมวัสดุปูนเพิ่ม PH ตอนเช้าไม่ให้ต่ำกว่า 7.5 และทำให้สีน้ำให้ดีขึ้น alkalinity
สาหร่ายน้ำจืดที่ใส่ในบ่อ จะทำให้น้ำในบ่อใสมาก แต่จะมีผลทำให้อัลคาไลน์ลดต่ำลงไปด้วย ซึ่งจะผลต่อ
อัตรารอดของลูกกุ้ง จึงจำเป็นเป็นต้องตรวจวัด alkalinity อย่างสม่ำเสมอ
หอยขมสามารถค่าอัลคาร์ไลน์ลงได้ มาก การเพิ่มจำนวนของหอยจะมีการใช้แคลเซียมสร้างเปลือกหอยและ
ทำให้ alkalinity และ PH ของน้ำต่ำลงมาก น้ำที่มี alkalinity ประมาณ 100 พีพีเอ็มและพีเอชประมาณ 8.0 ถ้า
มีลูกหอยเป็นจำนวนมากอาจจะเหลือ alkalinity ไม่ถึง 50 ppm และ ph อาจจะลดลงมาจาก 8.0 เหลือไม่ถึง
7.5 ภายในช่วง 30 วันแรกที่ปล่อยลูกกุ้ง การแก้ไขต้องเติมวัสดุปูนอย่างต่อเนื่องให้ค่าพีเอชไม่ต่ำกว่า 7.5 ใน
ตอนเช้า จะช่วยลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นได้ส่วน alkalinityจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นในเวลาต่อมาเมื่อหอยโตเต็มที่
alkalinity สูงมากเช่น 180-250 ppm และph ของน้ำตอนเช้าเกิน 8.3 จะพบว่าเปลือกกุ้งมีตะกรัน กุ้งเปลือก
สากไม่ลอกคราบ การกินอาหารลดลง ส่งผลให้กุ้งโตช้ามาก การแก้ไขต้องลดพีเอชลงมาให้ตอนเช้าไม่เกิน 8.0
โดยใช้ฟอร์มาลินหรือกรดอย่างอ่อนลงในน้ำครับ
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1072587292775111&id=1001137463253428
เอามาย้ำกันให้ก่อนฤดูหนาวนะครับ เพิ่มเติมเรื่องของการทำเบ็ดดิ้งแช่น้ำ ในหน้าหนาวอาจแช่แค่ 6-8 วัน และเปลี่ยนถ่ายน้ำแค่ 3-4 ครั้งพอแล้วไม่ต้องแช่ถึง 10 วันหรือเปลี่ยนน้ำถึง 5 ครั้งเหมือนหน้าร้อนและหน้าฝน
เพราะอาการที่เย็นจะช่วยให้เบ็ดดิ้งไม่ร้อนจนเกินไป
บางจังหวัดที่มีอากาศหนาวและเย็นมาก ใส่เบ็ดดิ้งให้หนากว่าเก่าสัก 2 cm และท่านไหนที่เลี้ยงรองปูนและอากาศในจังหวัดท่านเย็นจัด ให้เพิ่มขี้วัวตามที่บอกแล้วหาอะไรปิดด้านบนขอบบ่อช่ะเช่น แผ่นฝ้า ผ้า หรือหลังคากระเบื้อง เพื่อกันลม เพราะถ้าไม่กัน บ่อที่เย็นจะำให้ไส้เดือนำไต่มาด้านบนผิวเบ็ดดิ้งและแห้งตาย
ส่วนใครที่เลี้ยงด้วยกะละมัง แค่เพิ่มขี้วัวให้หนาขึ้นก็พอได้แล้ว หรือถ้าอยากป้องกันให้ดีขึ้นก็หาแสลน หรือพลาสติกปิดคลุมโรงเรือนช่ะ แค่นี้ก็ลดแรงลมที่มาปะทะกะละมังแล้วครับ...
ห่างหายไปเสียหลายวัน พี่ๆน้องๆ ที่เลี้ยงไส้เดือนเป็นอย่างไรกันบ้างครับ ช่วงหน้าหนาวเลี้ยงยากขึ้นไหม ช่วงอากาศหน้าหนาวมักเปลี่ยนแปลงบ่อย พอๆ กับหน้าฝน เพราะอากาศจะเดี้ยวหนาวบ้าง ปกติบ้าง ซึ่งขึ้นลงในแต่ล่ะวันไม่ค่อยเหมือนกัน อย่างในช่วง วันที่ 17-22 อากาศแถวฟาร์ม วัดได้ 21-22 องศา ซึ่งหลังจากนั้น วัดอักทีได้ 24-26 องศาแร่ะช่วงนี้กลับเริ่มร้อนขึ้นมาอีกนิด นอกจากผู้เลี้ยงที่ต้องห่วงถึงสุขภาพแล้ว ยังต้องคำนึงถึงไส้เดือนของผู้เลี้ยงด้วย ใครบางคนอาจเคยได้ยินว่า ช่วงฤดูหนาวไส้เดือนจะเลี้ยงง่าย ซึ่งต้องขอชี้แจงว่า มีส่วนถูก แต่อาจจะไม่ทั้งหมด ซึ่งทางฟาร์มจะขอชี้แจงเป็น ข้อดี ข้อเสีย แล้วก็ข้อควรระวังดังต่อไปนี้ !!!!
📫📩 ข้อดี 📮📝
1. ไส้เดือนที่เรานิยมเลี้ยงกันอยู่นี้ (AF) เป็นสายพันธุ์ที่ชอบอากาศเย็น คืออยู่ในอุณหภูมิ 15-28 องศา ซึ่งอากาศเย็นในเขตภาคกลางส่สนใหญ่ก็คงไม่ต่ำกว่า 18 องศาไปแน่นอนต่อให้หนาวแค่ไหน ซึ่งมั่นใจว่าปลอดภัยแน่นอนในเรื่องของอณหภูมิ ในหน้าหนาว
2. เบ็ดดิ้ง ( ที่อาศัยของไส้เดือน + แหล่งอาหาร) ส่วนมากแร่ะที่นิยมใช้คือ ขี้วัวต่างๆ เช่นขี้วัวนม ขี้วัวขุ่น แร่ะขี้วัวบ้าน ซึ่งขี้วัวที่นำมาใช้เป็นเบ็ดดิ้ง ถ้าผ่านการระบายความร้อนหรือกรดแก๊สออกไม่ดี ก็จะทำให้ที่อยู่ของไส้เดือนร้อนขึ้นมาก ยิ่งเวลาที่เรารดน้ำผ่านจะยิ่งร้อนใหญ่ ฉนั้นด้วยฤดูหนาว อากาศเย็นทำให้เราชื้นใจได้บ้างว่า ด้วยอากาศที่เย็นลง จะทำให้อุณหภูมิในภาชนะที่เลี้ยง สูงกว่าบรรยากาศรอบข้าง 2-4 องศา ซึ่งนั้นก็ยังคงจะอยู่ในค่าของอุณหภูมิที่ไส้เดือนชอบในการดำรงชีวิต
3. การผสมพันธุ์ แน่นอน ไส้เดือนมักจะวางไข่มากๆ ก็ในช่วงฤดูหนาวนี้แร่ะครับ ไส้เดือนมักจะจับคู่ผสมพันธุ์กันในช่วงหน้าหนาวเพิ่มขึ้นจากในหน้าอื่นๆ ไข่จะมีขนาดที่ใหญ่กว่าในฤดูอื่นๆ แร่ะจำนวนของตัวที่ออกมากกว่าในฤดูอื่นๆ
🎃📻🔕 ข้อเสีย 🔓📆📰
1. ช่วงนี้ ไส้เดือนของบางท่านที่เลี้ยงอาจจะเริ่มกินน้อยลง หรือไม่กินเลย ท่านอาจจะกระตุ้นการกินของไส้เดือน โดยการเพิ่ม น้ำคาวปลา หรือน้ำขี้วัวแช่น้ำทิ้งไว้ 24 ชม ละลายความเข้มข้นโดยน้ำสะอาด 50% แล้วราดรดลงบนผิว หรือ ไข่แดงต้มผสมกับกากน้ำเต้าหู้กับกากน้ำตาล ปั่นเป็นก้อนเท่าลูกปองปองแล้วฝั่งกลบในภาชนะที่เลี้ยง
🎃🎏🎆 ข้อควรระวัง 🎒🎎💝
1. สิ่งรบกวน ช่วงนี้ห้ามรบกวนไส้เดือน เช่นพลิกกลับเบ็ดดิ้ง หรือเคลื่อนย้ายภาชนะเลี้ยงบ่อยครั้ง ในกรณีที่เลี้ยงด้วยกะละมังเพราะมีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้ไส้เดือนหนีออกจากที่เลี้ยงทั้งหมด
2. ห้ามรดน้ำให้เบ็ดดิ้งแฉ่ะเกินไป เพราะช่วงหน้าหนาวนี้ ถ้าเบ็ดดิ้งมีความชื้นสูงมากเกินไป ไส้เดือนที่เลี้ยงไว้จะอพยพ หนีท่านแน่นอนครับ ควรฉีดน้ำให้ผิวหน้าที่แห้ง เปียกชื้นพอเท่านั้นไม่ต้องถึงกลับแฉ่ะ
สนใจในการเลี้ยงไส้เดือนหรือสอบถามปัญหาข้อมูลในการเลี้ยง ติดต่อได้ที่ #ไส้เดือนบ้านอ่างทอง หรือโทร 089-8944895 เพราะเราอยากให้คุณมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น
#แล้วพบกับสาระเกร็ดความรู้ได้ที่นี้ในคราวต่อไปครับ
แจ้งนะครับมีกุ้งบ่อดิน จะดักขึ้นมาจำหน่ายได้นะครับ ไชด์ 3-3.5"
ราคา 3" คู่ล่ะ 350 บาท. เอามากกว่า 100 คู่เหลือ 330
ราคา 3.5 " คู่ล่ะ 450 บาท. เอามากกว่า 100 คู่เหลือคู่ล่ะ 430
#ข้อแนะนำ เล็กๆ น้อยๆ ครับเล่นกุ้งไชด์ขนาดเล็กดีกว่าครับช่วงนี้ เพราะเกือบๆหมดฤดูผสมพันธุ์แล้ว เอามาขุนทำไชด์ เพื่อรอเดือนกลางๆ กุมภาพันธุ์ แล้วเอาลงผสมได้ไชด์ ได้อายุพอดี
ท่านไหนสนใจ โอนเงิน 50% แล้วจ่ายอีก 50%ตอนที่มารับที่ฟาร์มได้ครับ ได้ยอดที่พร้อมจะดักกุ้งในบ่อ เมื่อไหร่ผมจะแจ้งทันที ขอรายชื่อผู้ที่สนใจจองครับเอาเฉพาะท่านที่สนใจจริงๆ นะครับ ไม่จองเล่นๆ
117 หมู่ 6 ต. ศรีพราน
Amphoe Sawaeng Ha
14150
รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ฟาร์มไส้เดือนและกุ้งก้ามแดง บ้านอ่างทองผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา
สนใจติดต่อ สอบถามได้ครับ แนะนำวิธีการเลี้ยงฟรีๆ ไม่ว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อกับฟาร์มเรา. ทางฟาร์มมีพันธุ์ไส้เดือนจำหน่ายตลอดปี ราคา 350 บาทครับไม่รวมค่าส่ง. ส่งฟรี ในระยะไป - กลับ. ไม่เกิน. 15 กิโล อนึ่ง ระหว่างที่คัดและรอส่ง รวมถึงไส้เดือนถึงมือลูกค้าแล้ว น้ำหนักไส้เดือนจะลดลง กิโลหนึ่งจะเหลือแประมาณ 7-8ขีด ยิ่งถ้าระยะเวลานานขึ้นไปอีก และดินแห้งเขาจะคายน้ำเพื่อทำให้ดินชื้นขึ้น น้ำหนักเขาก็จะลดลงไปเรื่อยๆ จากไส้เดือนตัวให่ญๆ จะผอมและลีบลงหดสั้นไปเรื่อยๆ แต่ถ้าได้เบ็ดดิ้งดีๆ ไม่นานเขาจะกลับมากินและัขนาดใหญ่ขึ้น
ครับอาทิตย์นี้ นำเสนอวิธีการเก็บน้ำหมักมูลไส้เดือนแบบราดรดและการนำเอาไปใช้งาน วิธีการเก็บ ควรทำในช่วงเช้า 8.00-10.00 นอกนั้นทำได้ แต่ก็ไม่สมควร เพราะมี % สูงที่ไส้เดือนอาจจะหนี อีกอย่างไม่ควรเก็บบ่อยครั้ง ใน 1 เดือนที่เลี้ยง ควรเก็บหลังจากการเลี้ยงไปแล้ว 17 วันขึ้นไป สมมุติให้เก็บวันที่ 17 เป็นครั้งแรก หลังจากนั้น นับไปอีก 7-10 วัน เก็บครั้งที่ 2 ถ้ามีคำถามว่า เก็บถี่กว่านี้ได้ไหม ตอบว่าได้ครับถ้าเราทำใช้งานเอง แต่ถ้าขายเอาให้มันมีประสิทธิ์ภาพหน่อยครับ คือให้ไส้เดือนได้ผลิตมูลได้เยอะขึ้น ปล่อยเมือกได้มากขึ้น จุลินทรีย์มีเพิ่มมากขึ้นจะดีกว่า ถ้ามีคำถามอีกว่า แล้วช่วงที่ไม่เก็บจะราดรดให้น้ำมันไหลออกไปโดยเปล่าประโยชน์เหรอ คำตอบคือ เราจะไม่หยดให้มันไหลออกตูดกะละมังขนาดนี้ครับ เวลาเลี้ยงโดยปกติ เวลาเอาไปใช้งาน ควรที่จะเอาไปกรองก่อนครับ หลายๆ ชั้นหน่อย เพราะไม่งั้นจะอุดตัน ฟ๊อกกี้ หรือ เครื่องฉีดครับ ควรฉีดในช่วงเช้ามืด และหลังจากแดดหมดแล้ว เพราะจุลินทรีย์ตัวนี้ไม่เหมาะกับแดด โดนแดดแล้วตายครับ ฉีดแล้วไม่ค่อยได้ผล ใบ ราก ลำต้น ยังซึมซับได้ไม่เท่าไหร่ โดนแดดแล้วแห้งหรือตายเสียก่อน อัตราการฉีด 10-15 วันฉีด 1 ครั้งครับ ฉีดโฉบๆ อย่าพ่นจนชุ่มจนแฉ่ะ ไม่จำเป็นครับ ลองทำกันดูนะครับได้ผลดีแน่นอน
คลิปการปาดหน้ามูลไส้เดือน เพื่อให้ไส้เดือนกินดีขึ้น ภายใน 1 เดือนของการเลี้ยง เราจำเป็นที่จะต้องปาดผิวหน้าเบ็ดดิ้ง เพื่อเอามูลไส้เดือนออก เพื่อให้ไส้เดือนได้ขึ้นมาถ่ายอีก การที่ทิ้งมูลไส้เดือนไว้ตลอดจนครบเวลาที่เลี้ยง (1เดือน) สามารถทำได้ แต่ให้ผลไม่ดีเท่ากับการปาดหน้าเอามูลไส้เดือนออก ในการปาดหน้าทางฟาร์มกำหนดครั้งที่ 1 คือระหว่างวันที่ 10-12 ของวันที่ลงไส้เดือนวันแรก ( จะเติมเบ็ดดิ้งสักนิดหน่อยก็ได้หลังจากปาดแล้วหรือไม่เติมก็ได้ ) และครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 20-22 นับจากลงไส้เดือนวันแรก ( จะเติมเบ็ดดิ้งสักนิดหน่อยก็ได้ ) ครั้งที่ 3 ครบ 28-30 วัน ปาดออกแล้วเติมเบ็ดดิ้งใหม่ หรือจะเอาตัวรวมถึงดินในภาชนะเลี้ยงแบ่งออกเป็น 2 ส่วนเท่าๆกัน แล้วเติมเบ็ดดิ้งใหม่ที่เตรียมไว้ใส่ลงไป และให้นับวันที่ทำเสร็จเริ่มเป็นวันที่ 1 อีกครั้ง ทำวนไปเรื่อยๆ แต่ถ้าจำนวนในภาชนะเลี้ยงมีจำนวนน้อยก็ไม่ต้องแยกก็ได้ ให้เติมเบ็ดดิ้งใหม่ลงไปเลย เทคนิด : #ให้ปาดตอนช่วงเช้า 09.00-10.00 เพราะไส้เดือนจะอยู่ข้างล่างแล้ว และเมื่อปาดเสร็จรดน้ำให้ชื้นแฉ่ะนิดๆ อย่าแฉ่ะจนเกินไป ช่วงหน้าร้อนแบบนี้ให้แฉ่ะมากกว่าหน้าอื่นหน่อย อย่าปาดตอนเย็นและรดน้ำช่วงเย็น ไส้เดือนจะหนีออกตอนกลางคืน
ไส้เดือนช่วงนี้กำลังเลี้ยงดี หลายๆ คนหรือหลายๆฟาร์มคงจะยิ้มกันมากขึ้น ฟาร์มทุกฟาร์มอาจมีวิธีเก็บและคัดแยกตัวไส้เดือนออกจากเบ็ดดิ้ง และจากมูลไม่เหมือนกัน ซึ่งอาจจะมีเครื่องจักร หรืออุปกรณ์คัดแยก ตามแต่ล่ะกำลังทรัพย์ของแต่ล่ะคน หรือแต่ล่ะฟาร์ม ซึ่งผมจะบอกว่า แค่อุปกรณ์ง่ายๆ ก็คัดไส้เดือน ราวๆ 100 กิโลต่อวันก็สบายแล้ว คืออะไร ก็คือกะละมัง เจาะตูดแล้วขึงด้วยตาข่ายพลาสติก ตามที่ผมเคยโพสไว้ในโพสก่อนๆ นั้นแร่ะ ใช้ได้ดี แยกตัวได้ แยกขี้ได้ แต่ข้อเสียคือแยกไข่ไม่ได้ และต้องออกแรงเอง แต่ก็ประหยัดงบไปได้เยอะ แต่สำหรับคนที่ไม่มีและไม่อยากจะใช้วิธีนี้ล่ะ จะทำอย่างไรดีถึงจะคัดได้ ผมขอเสนอแนะ วิธีบ้านๆ ไม่ต้องใช้เครื่องมืออะไรเลย วิธีนี้ก็เคยโพสลงไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็คือเราจะปาดขี้ไส้เดือนในตอนเช้า 07.00-09.00 ซึ่งเวลาไส้เดือนจะยังไม่ค่อยขึ้นมาด้านบนทำให้ปาดไม่ติดตัวไส้เดือน แต่าจติดไข่ ในกรณีนี้มี 2 วิธี สำหรับแยกไข่ 1. ให้เราเอากะละมังไม่เจาะรูเอามูลไส้เดือนที่เราปาดนั้นใส่ในกะละมัง สัก 6-8 cm จากนั้นสเปย์น้ำไปอีก สัก 8-12 วันแล้วมันจะออกเป็นตัว ให้เราเติมขี้วัวไปบนผิวหน้าเล็กน้อย สัก 1 ข้อนิ้ว แล้วทิ้งไว้ 10-15 วันแล้วจะได้ไส้เดือนตัวที่ให้เราวามารถคัดแยกไปได้ (วิธีคัดไส้เดือนตัวเล็กๆ อ่านต่อหลังจากข้อที่ 2 2. เมื่อเบ็ดดิ้งติดไข่เยอะๆ ให้เราหากะละมังมา 1 ใบ ใส่น้ำให้สูง เกือบถึงขอบบน เสร็จแล้ว เอาเบ็ดดิ้งที่ติดไข่เยอะๆ โรยลงไปในน้ำ ไข่จะลอยขึ้นมา ก็ให้เราใช้ที่ตักปลาตาข่ายถี่ๆ ช้อนไปใส่กะละมังเบ็ดดิ้งที่เราเตรียมไว้ ส่วนเบ็ดดิ้ง เราก็เอาออกไปผึ่งลมให้แห้ง หรือ ใส่ต้นไม้ก็ได้ หลังปาดเสร็จ เราก็มานั้งคัดด้วยมือ คัดเฉพาะตัวที่ใหญ่ๆ สร็จแล้วอาจเหลือเบ็ดดิ้งพร้อมกับไส้เดือนตัวเล็กๆ ที่จับไม่ได้ จะทำยังไง ก็ให้กองบนกะละมังที่ใส่เบ็ดดิ้งใหม่เลยตามคลิป กองไว้สัก 24 ชั่วโมงมันก็ลงหมดแล้ว แล้วเราก็ยกกองภูเขาเล็กๆ นั้นไปใส่ต้นไม้ หรือเอาไปร่อนมูลไส้เดือนได้ ลองทำกันดูนะครับ ใครมีวิธีที่ดีกว่าโดยที่ไม่ใช้เครื่อง ก็บอกความรู้กันได้ ผมไม่ค่อยนิยมกักความรู้หรอก สำหรับท่านที่ ib เข้ามาผมพยายามตอบนะ ขอให้ใจเย็นๆ ครับ บางวันผมตอบช้าหน่อยท่านว่าผมแรงมาก แต่บางเดือนผมนอน เที่ยงคืนถึงตี 1 เเพื่อตอบคำถามตั้งแต่ 2 ทุ่มครึ่ง ถึง เที่ยงคืน ถึงต
ให้ดูครับ ว่าวิธีที่แนะนำช่วงหน้าฝน ได้ผลหรือเปล่า ตกเรื่อยนะครับ ที่อ่างทองแล้วก็ที่ฟาร์ม บางทีตกทั้งอาทิตย์ทั้งเช้า-เย็น ส่วนวันนี้ตกกลางคืนตกหนักและตกมากว่า 3 ชั่วโมงแล้วแล้วก็ยังตกอยู่เรื่อยๆ แต่ไส้เดือนยังอยู่เงียบ ไม่มีเพ่นพ่านขึ้นมาด้านบน ลองนำวิธีที่ฟาร์มไปทดลองดูได้ครับ ไม่แนะนำมห้เชื่อถ้ายังไม่ได้ลงมือทดลอง ลองทำน้อยดูได้ครับถ้าที่ฟาร์มของท่านมีปัญหาไส้เดือนหนีช่วงฝนตก
DIY อุปกรณ์ร่อนมูลไส้เดือนและแยกตัวไส้เดือน แบบราคาประหยัด วัสดุอุปกรณ์ 1. กระบะมัง ความกว้าง 55 cm แบบหนา ราคาใบล่ะ 55 บาท (ราคาขายส่ง ปกติ 100-120) 2. เชือกแบบผ้าเส้นความกว้าง 1 cm ความยาวแล้วแต่ระยะที่ท่านต้องการจะผูก ของฟาร์มเราข้างล่ะ 11 cm ( ราคาเมตรล่ะ 5 บาท ) 3. เคเบิ้ลไท ( ราคาห่อล่ะ 25 บาท) 4. สว่านเจาะ พร้อมดอกเจาะ ขนาด 10 มิล และ ดอก 3-4 มิล 5. เลื่อย ( ใบล่ะ 10 บาท) 6. ตะไบลบคม มีหรือไม่มีก็ได้ใช้อย่างอื่นแทนได้ ไว้สำหรับลบคมตอนที่เราใช้เลื่อย เลื่อยตูดกระละมัง 7. ตะแกรงพลาสติก ขนาด 4 มิล ขนาด 1 เมตร ( ราคาเมตรล่ะ 50 บาท) 8. กรรไกร วิธีทำ 1. เจาะรูที่ตูดกระละมังเหมือนในคลิป เจาะให้รูถี่ๆ ติดกันสัก 3-4 รู อาจเจาะเป็นระยะก็ได้ เพื่อเบาแรง ถ้าใครมีดอกหมุนที่ไว้าำหรับเจาะรูไม้ยิ่งเบาแรงได้เยอะ จากนั้นกดให้รูทะลุถึงกันเพื่อที่จะใช้เลื่อย แหย่ลงไปเพื่อเลื่อยตูดกระละมังให้ขาดเป็นวงกลมๆ ตามคลิป 2. ลบคมที่เราเลื่อยขอบกระละมังด้วยตะไบ หรือกระดาษทรายเบอร์ 0 หรือเอาคัดเตอร์กรีดตามขอบ 3. ทาบตะแกรงพลาสติกลงบนตูดกระละมังจากนั้นให้ตัดตะแกรงโค้งตามตูดกระละมังแล้วเจาะด้วยดอก 3 มิลตามส่วนโค้งของกระละมัง โดยให้เน้นส่วนที่หนาๆ เพราะต้องการความแข็งแรงในส่วนนี้ จากนั้นร้อยด้วยเคเบิ้ลไท 4. จากนั้น เจาะด้านบนขอบกระละมังเพื่อร้อยหูเพื่อผูกเชือก แบบในคลิป สอดเชือกตามในคลิป จากนั้นก็ทำที่ผูกเพื่อห้อยกระละมังร่อนมูลไส้เดือนตามความสูงที่เราถนัดครับ มีปัญหาหรือต้องการทราบเทคนิดการเลี้ยงไส้เดิอน หรือต้องการซื้อพันธุ์ไส้เดือน มูลไส้เดือน น้ำหมักติดต่อได้ที่ เพจ #ฟาร์มไส้เดือนบ้านอ่างทอง เพราะเราอยากให้คุณมีรายได้ที่ดีขึ้นจริงๆนะ