Nutrisacc Diary อาหารเสริมชีวภาพ หมู ไก่ วัว

Nutrisacc Diary อาหารเสริมชีวภาพ หมู ไก่ วัว อาหารเสริมชีวภาพสัตว์บก สัตว์น้ำ Nutri-sacc
จากสัตวเเพทย์ผู้ชำนาญด้านโภชนาการสัตว์กว่า 30 ปี

อากาศเปลี่ยน ทำไมไก่ถึงไม่ออกไข่? สาเหตุและวิธีป้องกันแก้ไขการเลี้ยงไก่ไข่ให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพและปริมาณที่สม่ำเสมอ จำ...
28/01/2025

อากาศเปลี่ยน ทำไมไก่ถึงไม่ออกไข่? สาเหตุและวิธีป้องกันแก้ไข
การเลี้ยงไก่ไข่ให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพและปริมาณที่สม่ำเสมอ จำเป็นต้องมีการจัดการที่ดีในทุกด้าน แต่มีปัจจัยหนึ่งที่เกษตรกรไม่สามารถควบคุมได้โดยตรง นั่นก็คือ สภาพอากาศ การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ เช่น อากาศร้อนจัด หนาวจัด หรือชื้นเกินไป สามารถส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมและสุขภาพของไก่ไข่โดยตรง ทำให้ไก่เกิดความเครียดและลดประสิทธิภาพในการออกไข่ บางครั้งอาจถึงขั้นหยุดออกไข่เลยทีเดียว
บทความนี้จะอธิบายถึง สาเหตุที่อากาศเปลี่ยนส่งผลต่อการออกไข่ของไก่ และวิธีการป้องกันและแก้ไขปัญหา เพื่อให้เกษตรกรสามารถดูแลไก่ไข่ได้ในทุกสภาพอากาศ
1. สาเหตุที่อากาศเปลี่ยนทำให้ไก่ไม่ออกไข่
1.1 ความเครียดจากอุณหภูมิ
อากาศร้อนจัด: ไก่เป็นสัตว์ที่ไม่มีต่อมเหงื่อ ดังนั้นเมื่ออุณหภูมิสูง ไก่จะระบายความร้อนผ่านการหายใจ โดยอ้าปากหายใจแรงๆ เพื่อช่วยลดอุณหภูมิในร่างกาย แต่พฤติกรรมนี้ทำให้ไก่เสียพลังงานมากและลดการกินอาหาร ส่งผลให้ไก่ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอในการสร้างไข่
อากาศหนาวจัด: เมื่ออุณหภูมิต่ำ ไก่จะใช้พลังงานในการรักษาความอบอุ่นของร่างกายมากขึ้น ส่งผลให้พลังงานที่ควรใช้ในการสร้างไข่ลดลง
1.2 การเปลี่ยนแปลงของแสงแดด
ไก่ไข่ต้องการแสงแดดหรือแสงสว่างที่เพียงพออย่างน้อย 14-16 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการออกไข่ หากแสงแดดลดลง เช่น ในฤดูฝนหรือฤดูหนาวที่มีแสงน้อย ไก่อาจลดการออกไข่หรือหยุดออกไข่ไปชั่วคราว
1.3 ความชื้นและการระบายอากาศ
ความชื้นสูงในโรงเลี้ยง เช่น ในช่วงฤดูฝน อาจทำให้โรงเลี้ยงอับชื้นและเกิดเชื้อโรค เช่น เชื้อราและแบคทีเรีย ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพของไก่ เช่น โรคระบบทางเดินหายใจ และโรคผิวหนัง เมื่อสุขภาพไก่ไม่ดี ก็จะส่งผลต่อการผลิตไข่โดยตรง
1.4 ความเครียดจากสิ่งแวดล้อม
การเปลี่ยนแปลงอากาศ เช่น พายุฝน ลมแรง หรือเสียงดังจากฟ้าร้อง อาจทำให้ไก่เกิดความเครียด ส่งผลต่อการกินอาหาร การดื่มน้ำ และกระบวนการผลิตไข่
2. วิธีป้องกันและแก้ไขปัญหาไก่ไม่ออกไข่จากการเปลี่ยนแปลงของอากาศ
2.1 การจัดการอุณหภูมิในโรงเลี้ยง
ในช่วงอากาศร้อน:ติดตั้งพัดลมหรือระบบระบายอากาศในโรงเลี้ยง เพื่อช่วยลดอุณหภูมิและเพิ่มการหมุนเวียนของอากาศ ใช้สเปรย์น้ำฉีดพ่นในโรงเรือนหรือบริเวณหลังคาเพื่อลดความร้อน ให้น้ำสะอาดและเย็นในปริมาณที่เพียงพอ ไก่จะดื่มน้ำมากขึ้นในช่วงอากาศร้อน ลดความหนาแน่นของไก่ในโรงเลี้ยง เพื่อให้ไก่มีพื้นที่ในการระบายความร้อน
ในช่วงอากาศหนาว:ติดตั้งอุปกรณ์ให้ความอบอุ่น เช่น หลอดไฟให้ความร้อน หรือฮีตเตอร์ในโรงเลี้ยง ปิดโรงเลี้ยงให้มิดชิดเพื่อลดการรับลมหนาว แต่ยังคงต้องมีการระบายอากาศที่เหมาะสม
2.2 การจัดการแสงสว่างในโรงเลี้ยง
ใช้หลอดไฟในโรงเลี้ยงเพื่อเพิ่มระยะเวลาของแสงสว่างในช่วงที่แสงแดดน้อย เช่น ฤดูฝนหรือฤดูหนาว
ควรเปิดไฟในโรงเลี้ยงให้มีแสงสว่างนานประมาณ 14-16 ชั่วโมงต่อวัน หากต้องการให้ไก่ไข่ออกไข่อย่างสม่ำเสมอ
2.3 การจัดการความชื้นและการระบายอากาศ
ติดตั้งระบบระบายอากาศหรือพัดลมดูดอากาศในโรงเลี้ยง เพื่อป้องกันความอับชื้น
หมั่นทำความสะอาดโรงเลี้ยง กำจัดขี้ไก่และวัสดุรองพื้นเก่าที่เปียกชื้น หรือเปลี่ยนวัสดุรองพื้นใหม่ที่แห้งและสะอาด
ใช้สารดูดซับความชื้น เช่น ปูนขาว หรือสารชีวภาพที่ช่วยลดความชื้นและกลิ่นในโรงเรือน
2.4 การให้อาหารและน้ำที่เหมาะสม
ในช่วงอากาศร้อน ควรให้อาหารที่มีพลังงานต่ำแต่มีโปรตีนสูง เช่น อาหารเสริมไก่ที่มีกรดอะมิโนและแร่ธาตุที่จำเป็น
ในช่วงอากาศหนาว ควรให้อาหารที่มีพลังงานสูงขึ้น เพื่อช่วยให้ไก่มีพลังงานเพียงพอในการรักษาความอบอุ่นของร่างกาย
ตรวจสอบคุณภาพน้ำดื่มให้สะอาดและเพียงพอ โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศร้อน ไก่ต้องการน้ำมากขึ้น
2.5 ลดความเครียดของไก่
จัดการโรงเลี้ยงให้เงียบสงบ ลดเสียงรบกวนที่อาจทำให้ไก่ตกใจ เช่น เสียงดังจากเครื่องจักร หรือเสียงฟ้าร้อง
หลีกเลี่ยงการเคลื่อนย้ายหรือจับไก่ในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลง
3. การดูแลสุขภาพไก่ในช่วงอากาศเปลี่ยน
เสริมวิตามินและแร่ธาตุ: การเสริมวิตามิน เช่น วิตามินซี หรือวิตามินอี ในอาหารหรือน้ำดื่ม จะช่วยลดความเครียดของไก่และเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างไข่
ฉีดวัคซีนป้องกันโรค: ตรวจสอบและฉีดวัคซีนป้องกันโรคให้กับไก่เป็นระยะ เพื่อป้องกันโรคที่อาจเกิดจากความเปลี่ยนแปลงของอากาศ
ตรวจสุขภาพไก่เป็นประจำ: หากพบว่าไก่มีอาการผิดปกติ เช่น ซึม กินอาหารน้อยลง หรือมีอาการป่วย ควรแยกไก่ตัวนั้นออกจากฝูงและปรึกษาสัตวแพทย์
4. สรุป
การเปลี่ยนแปลงของอากาศเป็นปัจจัยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เกษตรกรสามารถจัดการและป้องกันผลกระทบได้ด้วยการดูแลสภาพแวดล้อมในโรงเลี้ยงให้เหมาะสม เช่น การควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น และแสงสว่าง รวมถึงการให้อาหารและน้ำอย่างเหมาะสมกับสภาพอากาศ การลดความเครียดของไก่และการเสริมวิตามินยังช่วยเพิ่มความแข็งแรงและลดผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงของอากาศได้
ด้วยการจัดการที่ดี ไก่ไข่จะสามารถผลิตไข่ได้อย่างสม่ำเสมอ แม้ในช่วงที่สภาพอากาศแปรปรวน อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคและเพิ่มประสิทธิภาพของฟาร์มในระยะยาว
#อาหารเสริมไก่ไข่
#การดูแลไก่ไข่
#สารเสริมไก่ไข่
#อะมีโนไลท์
#ไซโปรวิท
#ไก่ไม่ออกไข่อาหารเสริมไก่ไข่
โดยสัตว์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญดานโภชนาการสัตว์กว่า 30 ปี

อาการไก่เนื้อแตกไซด์ หรือที่เรียกว่า "ไก่แตกไซด์" (Broiler uneven size) เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในการเลี้ยงไก่เนื้อ และส่งผ...
28/01/2025

อาการไก่เนื้อแตกไซด์ หรือที่เรียกว่า "ไก่แตกไซด์" (Broiler uneven size) เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในการเลี้ยงไก่เนื้อ และส่งผลต่อคุณภาพและขนาดของไก่ในฝูงที่ไม่สม่ำเสมอ ทำให้ไก่บางตัวโตเร็ว บางตัวโตช้า เกิดความแตกต่างของขนาดตัว (ไซส์) ซึ่งมีผลต่อการจัดการและการขายในตลาดที่ต้องการไก่ขนาดที่สม่ำเสมอ
สาเหตุของอาการไก่เนื้อแตกไซด์
สาเหตุของอาการไก่แตกไซส์ช่วงเปลี่ยนเบอร์อาหาร
การเปลี่ยนเบอร์อาหารอย่างรวดเร็วเกินไป:การเปลี่ยนเบอร์อาหารจากอาหารสำหรับลูกไก่ (starter) ไปสู่อาหารสำหรับไก่โต (grower) หรืออาหารขุน (finisher) อย่างรวดเร็วเกินไป สามารถทำให้ระบบย่อยอาหารของไก่ปรับตัวไม่ทัน ส่งผลให้ไก่บางตัวไม่สามารถดูดซึมสารอาหารได้เต็มที่ ทำให้การเจริญเติบโตไม่สม่ำเสมอ การเปลี่ยนเบอร์อาหารควรค่อย ๆ ทำแบบสม่ำเสมอ เช่น การผสมอาหารสูตรเก่ากับสูตรใหม่ในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้ระบบย่อยอาหารของไก่ปรับตัวได้ดี
ความแตกต่างของคุณภาพอาหาร:หากคุณภาพของอาหารในช่วงที่เปลี่ยนเบอร์ไม่สม่ำเสมอ เช่น อาหารใหม่อาจมีปริมาณโปรตีน พลังงาน หรือสารอาหารสำคัญต่าง ๆ ไม่เพียงพอหรือต่ำกว่าที่ไก่ต้องการ จะส่งผลให้ไก่โตช้าหรือโตไม่ทันกัน อาหารใหม่ที่มีคุณภาพไม่ดีหรือไม่สมดุลอาจทำให้ไก่เกิดปัญหาทางสุขภาพ เช่น ท้องเสียหรือลดการกินอาหาร ส่งผลให้บางตัวหยุดการเจริญเติบโตชั่วคราว ทำให้เกิดการแตกไซส์ในฝูง
การเปลี่ยนเบอร์อาหารไม่ตรงกับความต้องการของไก่ในช่วงวัยที่เหมาะสม:การเปลี่ยนเบอร์อาหารที่ไม่สอดคล้องกับช่วงอายุของไก่ เช่น การเปลี่ยนไปใช้อาหารที่มีปริมาณพลังงานหรือโปรตีนสูงเกินไปหรือน้อยเกินไปสำหรับช่วงวัยของไก่ อาจทำให้ไก่บางตัวโตเร็วเกินไป ขณะที่บางตัวอาจโตช้าลงเพราะไม่สามารถใช้สารอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรเปลี่ยนเบอร์อาหารตามช่วงวัยของไก่ที่เหมาะสม เช่น ไก่เนื้อจะต้องเปลี่ยนจากอาหาร starter ไปสู่อาหาร grower และ finisher ตามช่วงอายุที่กำหนด เพื่อให้ไก่ได้รับสารอาหารที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโต
ความเครียดจากการเปลี่ยนแปลงอาหาร:ไก่สามารถเกิดความเครียดจากการเปลี่ยนแปลงอาหารที่กะทันหัน ซึ่งอาจทำให้ไก่บางตัวมีปัญหาในการปรับตัว ส่งผลให้พวกมันกินอาหารน้อยลงหรือไม่สามารถย่อยสารอาหารได้ดี ทำให้การเจริญเติบโตชะลอตัว ความเครียดนี้ยังอาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ ในโรงเรือน เช่น อุณหภูมิ ความหนาแน่นของฝูง หรือการจัดการสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมในช่วงเวลาที่เปลี่ยนเบอร์อาหาร
วิธีป้องกันอาการไก่แตกไซส์ช่วงเปลี่ยนเบอร์อาหาร
เปลี่ยนเบอร์อาหารอย่างค่อยเป็นค่อยไป:ควรเปลี่ยนเบอร์อาหารในลักษณะค่อย ๆ ผสมอาหารเก่ากับอาหารใหม่ในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น เช่น ในช่วง 3-5 วันแรก ควรผสมอาหารเก่ากับอาหารใหม่ในอัตราส่วน 70:30 แล้วค่อย ๆ เพิ่มเป็น 50:50 และ 30:70 เพื่อให้ไก่ปรับตัวได้ดี
เลือกอาหารที่มีคุณภาพ:ควรเลือกใช้ อาหารที่มีคุณภาพสูง และมีสารอาหารที่ครบถ้วนตามความต้องการของไก่ในแต่ละช่วงวัย โดยพิจารณาเรื่องโปรตีน พลังงาน แคลเซียม และฟอสฟอรัสที่เพียงพอ ตรวจสอบคุณภาพอาหารที่ใช้ว่ามีความสม่ำเสมอและมีการผลิตที่ได้มาตรฐาน เช่น ไม่มีสารเจือปนที่เป็นอันตรายหรือสารที่ย่อยยาก
สาเหตุการบริหารจัดการการให้น้ำ
การจัดการน้ำไม่เพียงพอ:
น้ำมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเจริญเติบโตของไก่ การที่ไก่บางตัวไม่ได้รับน้ำเพียงพอ อาจทำให้การเจริญเติบโตหยุดชะงักและเกิดความแตกต่างในขนาดตัว การวางจุดให้น้ำไม่เพียงพอ หรือการวางจุดให้น้ำในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้ไก่บางตัวไม่สามารถเข้าถึงน้ำได้อย่างสม่ำเสมอ สรุป
อาการไก่เนื้อแตกไซด์เกิดจากหลายปัจจัย เช่น การจัดการอาหาร น้ำ ความหนาแน่นของไก่ในโรงเรือน สภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม และโรคที่อาจเกิดขึ้น โดยอาการนี้มักพบในช่วงอายุ 2-5 สัปดาห์ ซึ่งเป็นช่วงที่ไก่มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว การป้องกันสามารถทำได้โดยการจัดการอาหาร น้ำ และสภาพแวดล้อมในโรงเรือนให้เหมาะสม ควบคุมจำนวนไก่ในโรงเรือน และป้องกันโรคอย่างมีประสิทธิภาพ
อาการ ไก่เนื้อแตกไซส์ ในช่วงเปลี่ยนเบอร์อาหารเกิดจากหลายปัจจัย เช่น การเปลี่ยนอาหารอย่างรวดเร็วเกินไป ความแตกต่างของคุณภาพอาหาร การเข้าถึงอาหารไม่สม่ำเสมอ ความเครียดจากการเปลี่ยนแปลง หรือปัญหาสุขภาพในช่วงเปลี่ยนเบอร์อาหาร การป้องกันทำได้โดยการค่อย ๆ เปลี่ยนเบอร์อาหาร เลือกอาหารที่มีคุณภาพสูง จัดการการเข้าถึงอาหารให้เพียงพอ และควบคุมสภาพแวดล้อมในโรงเรือนให้เหมาะสม
แนะนำใช้ อะมีโนไลท์
ลดอาการไก่แตกไซส์ช่วงเปลี่ยนอาหาร ผสม 1 ซีซีต่อลิตร
-กินช่วงเปลี่ยนอาหาร ลดอาการไก่แตกไซส์
-กิน3วันก่อนขายน้ำหนักเพิ่ม 50 กรัม+
#การดูแลไก่เนื้อ #อาหารไก่เนื้อ #อาหารเสริมไก่เนื้อ #เลี้ยงไก่เนื้อ #อะมีโนไลท์ #ไซโปรวิท

กลไกการออกไข่ของไก่ไข่การออกไข่ของไก่ไข่เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและควบคุมโดยระบบฮอร์โมนและกลไกทางสรีรวิทยาในร่างกายแม่ไก่...
06/01/2025

กลไกการออกไข่ของไก่ไข่
การออกไข่ของไก่ไข่เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและควบคุมโดยระบบฮอร์โมนและกลไกทางสรีรวิทยาในร่างกายแม่ไก่ กระบวนการนี้เกี่ยวข้องกับการทำงานของระบบสืบพันธุ์และการหลั่งฮอร์โมนจากต่อมต่าง ๆ โดยละเอียดดังนี้:
1. ระบบสืบพันธุ์ของไก่ไข่
ระบบสืบพันธุ์ของแม่ไก่แบ่งออกเป็น 2 ส่วนสำคัญคือ
รังไข่ (Ovary):เป็นอวัยวะที่ผลิตเซลล์ไข่ (o**m) รังไข่ของแม่ไก่ประกอบด้วยฟอลลิเคิล (follicle) จำนวนมากที่เจริญเติบโตและพัฒนาไปตามลำดับ
ท่อนำไข่ (Oviduct):เป็นท่อที่เซลล์ไข่เดินทางผ่านหลังจากตกไข่ (ovulation) ท่อนำไข่แบ่งออกเป็นส่วนต่าง ๆ ที่ทำหน้าที่เฉพาะ เช่น การสร้างไข่ขาว เปลือกไข่ เป็นต้น
2. กลไกการสร้างและหลั่งฮอร์โมนที่กระตุ้นการออกไข่
2.1 การกระตุ้นจากสมองกระบวนการเริ่มต้นจากสมองของแม่ไก่ โดยเฉพาะ ไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) ซึ่งจะหลั่ง ฮอร์โมน GnRH (Gonadotropin-Releasing Hormone) ไปกระตุ้นต่อมใต้สมองส่วนหน้า (Anterior Pituitary Gland)
2.2 การหลั่งฮอร์โมนจากต่อมใต้สมอง
ต่อมใต้สมองจะหลั่ง ฮอร์โมน FSH (Follicle-Stimulating Hormone) เพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตของฟอลลิเคิลในรังไข่
เมื่อฟอลลิเคิลพัฒนาเต็มที่ ต่อมใต้สมองจะหลั่ง ฮอร์โมน LH (Luteinizing Hormone) เพื่อกระตุ้นให้ฟอลลิเคิลแตกออก (ตกไข่)
2.3 การทำงานของฮอร์โมนจากรังไข่
ฟอลลิเคิลที่เจริญเติบโตจะหลั่ง เอสโตรเจน (Estrogen) ซึ่งมีบทบาทในการเตรียมท่อนำไข่สำหรับการสร้างไข่ขาวและเปลือกไข่
หลังการตกไข่ ฟอลลิเคิลจะเปลี่ยนเป็น Corpus Luteum และผลิตฮอร์โมน โปรเจสเตอโรน (Progesterone) เพื่อกระตุ้นการหลั่ง LH จากต่อมใต้สมอง
3. กลไกการเดินทางของไข่ในท่อนำไข่
หลังจากตกไข่ เซลล์ไข่จะเดินทางผ่านส่วนต่าง ๆ ของท่อนำไข่ ดังนี้:
อินฟันดิบูลัม (Infundibulum): เป็นส่วนแรกของท่อนำไข่ที่จับเซลล์ไข่หลังตกไข่
แมกนัม (Magnum): ส่วนที่สร้างไข่ขาว
อิสต์มัส (Isthmus): ส่วนที่สร้างเยื่อหุ้มไข่
ยูเทอรัส (Uterus หรือ Shell Gland): ส่วนที่สร้างเปลือกไข่ โดยใช้แคลเซียมจากร่างกายแม่ไก่
ช่องคลอด (Va**na): ส่วนที่ไข่ถูกขับออกมาสู่ภายนอก
4. การสร้างฮอร์โมนที่ช่วยในการออกไข่
การสร้างฮอร์โมนต่าง ๆ ของแม่ไก่เกิดขึ้นจากการทำงานร่วมกันของอวัยวะหลายส่วน เช่น
รังไข่: ผลิตเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน
ต่อมใต้สมอง: ผลิต FSH และ LH
ไฮโปทาลามัส: ผลิต GnRH ฮอร์โมนทั้งหมดนี้ทำงานร่วมกันเป็นระบบควบคุมวงจรที่แม่นยำ
5. ปัจจัยที่มีผลต่อการออกไข่
ปัจจัยที่มีผลต่อการสร้างฮอร์โมนและการออกไข่ของแม่ไก่ ได้แก่:
แสง: ไก่ไข่ต้องการแสงประมาณ 14-16 ชั่วโมงต่อวันเพื่อกระตุ้นการสร้างฮอร์โมน
โภชนาการ: การขาดแคลเซียม ฟอสฟอรัส หรือโปรตีน จะทำให้กระบวนการสร้างไข่ผิดปกติ
สุขภาพ: โรคหรือความเครียดอาจทำให้ระดับฮอร์โมนลดลงและส่งผลต่อการออกไข่
6. วิธีการดูแลแม่ไก่เพื่อการออกไข่ที่ดี
อาหาร: ควรให้อาหารสูตรสำหรับไก่ไข่ที่มีแคลเซียมและโปรตีนเพียงพอ
การจัดการแสง: ควรจัดให้มีแสงที่สม่ำเสมอและเหมาะสม
สุขภาพ: ควรเฝ้าระวังโรคและให้วัคซีนตามโปรแกรม
สรุป:กระบวนการออกไข่ของไก่ไข่เป็นผลมาจากการทำงานร่วมกันของฮอร์โมน ระบบสืบพันธุ์ และปัจจัยภายนอก เช่น โภชนาการและแสงสว่าง การดูแลแม่ไก่ด้วยอาหารเสริมที่มีคุณภาพ และการจัดการที่เหมาะสม จะช่วยให้ไก่มีการออกไข่อย่างสม่ำเสมอและคุณภาพไข่ดี
ทีมงาน nutrisacc อาหารเสริมชีภาพสัตว์🐣🐤
#อาหารเสริมไก่ไข่
#การดูแลไก่ไข่
#สารเสริมไก่ไข่
#อะมีโนไลท์
#ไซโปรวิท

#ไก่ไม่ออกไข่อาหารเสริมไก่ไข่
โดยสัตว์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการสัตว์กว่า 30 ปี

การเลี้ยงไก่เนื้อในประเทศไทยช่วงฤดูหนาวการเลี้ยงไก่เนื้อในประเทศไทยเป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญ โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวที่อุณหภู...
24/12/2024

การเลี้ยงไก่เนื้อในประเทศไทยช่วงฤดูหนาว
การเลี้ยงไก่เนื้อในประเทศไทยเป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญ โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวที่อุณหภูมิลดลง ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมการกินอาหารและการเจริญเติบโตของไก่
สาเหตุของพฤติกรรมการกินอาหารที่เปลี่ยนแปลงไป
สาเหตุหลักของพฤติกรรมการกินอาหารที่เปลี่ยนแปลงไปของไก่เนื้อในช่วงฤดูหยาว คือ การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิและความชื้นในอากาศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบเผาผลาญอาหารของไก่เนื้อ เมื่ออุณหภูมิลดลง ไก่เนื้อจะใช้พลังงานมากกว่าปกติเพื่อสร้างความร้อนในร่างกาย ซึ่งส่งผลให้ไก่เนื้อไม่มีพลังงานเพียงพอสำหรับการเจริญเติบโตตามปกติ นอกจากนี้ ความชื้นในอากาศที่ลดลงจะส่งผลให้ไก่เนื้อไม่ สนใจในการกินอาหา
พฤติกรรมการกินอาหารของไก่เนื้อในฤดูหนาว
เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว อุณหภูมิที่ต่ำลงมีผลต่อพฤติกรรมการกินอาหารของไก่เนื้อ ดังนี้:
การลดลงของการกินอาหาร: ไก่เนื้ออาจมีการกินอาหารน้อยลงเมื่ออุณหภูมิอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากอุณหภูมิที่เย็นทำให้ระบบเมตาบอลิซึมของไก่ทำงานช้าลง
การเลือกอาหาร: ไก่อาจเลือกกินอาหารที่มีพลังงานและโปรตีนสูงมากขึ้น เพื่อให้ร่างกายสามารถสร้างความร้อนและรักษาอุณหภูมิให้คงที่
ความเครียด: อากาศเย็นอาจทำให้ไก่เครียด ส่งผลให้มีอาการซึมและลดการเคลื่อนไหว ซึ่งอาจส่งผลต่อการกินอาหาร
วิธีการป้องกันและแก้ไข
เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการกินอาหารในช่วงฤดูหนาว เกษตรกรสามารถดำเนินการได้ดังนี้:
ควบคุมอุณหภูมิ: ใช้ระบบการทำความร้อนในพื้นที่เลี้ยง เพื่อรักษาอุณหภูมิให้เหมาะสม
การปรับสูตรอาหาร: ใช้อาหารที่มีโปรตีนและพลังงานสูง เพื่อกระตุ้นการกินอาหารของไก่
การให้อาหารบ่อยขึ้น: ให้อาหารในปริมาณที่น้อย แต่บ่อยขึ้น เพื่อกระตุ้นความอยากอาหาร
วิตามินและอาหารเสริมที่ควรใช้
การเสริมวิตามินและอาหารเสริมที่เหมาะสมสามารถช่วยให้ไก่มีสุขภาพดีและส่งเสริมการเจริญเติบโต ดังนี้:
วิตามิน A: ช่วยในการมองเห็นและระบบภูมิคุ้มกัน
วิตามิน D3: ช่วยในการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัส
วิตามิน E: ช่วยป้องกันความเสียหายจากอนุมูลอิสระ
แร่ธาตุ เช่น แคลเซียมและฟอสฟอรัส: ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตและพัฒนาการของกระดูก
การเปลี่ยนเวลาการให้อาหาร
การเปลี่ยนเวลาการให้อาหารจากเช้าเป็นสายอาจมีข้อดี ดังนี้:
ลดความเครียดจากความเย็น: การให้อาหารในช่วงบ่ายหรือเย็นสามารถลดความเครียดจากอากาศเย็นในตอนเช้า
กระตุ้นการกินอาหาร: การให้อาหารในเวลาที่อุณหภูมิสูงขึ้นอาจกระตุ้นให้ไก่กินอาหารมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ควรพิจารณาให้เหมาะสมกับระบบการเลี้ยงและสภาพแวดล้อมของฟาร์มเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
สรุป
การเลี้ยงไก่เนื้อในช่วงฤดูหนาวต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีการดูแลและจัดการอาหารอย่างเหมาะสม เพื่อให้ไก่มีสุขภาพดีและสามารถผลิตได้ตามเป้าหมาย การควบคุมอุณหภูมิและการเสริมอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการจะช่วยให้การเลี้ยงไก่ประสบความสำเร็จในทุกฤดูกาล

#อาหารไก่เนื้อ
#เลี้ยงไก่เนื้อ
#โตไว
#ตายน้อย
#อาหารเสริมไก่เนื้อ
#อะมีโนไลท์
#ไซโปรวิท
#ไก่ไม่กินอาหาร
โดยสัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก้านโภชนาการสัตว์กว่า 30 ปี

การเลี้ยงไก่เนื้อในประเทศไทยการเลี้ยงไก่เนื้อเป็นอุตสาหกรรมสำคัญในประเทศไทย มีบทบาทสำคัญทั้งในด้านเศรษฐกิจภายในประเทศและ...
24/12/2024

การเลี้ยงไก่เนื้อในประเทศไทย
การเลี้ยงไก่เนื้อเป็นอุตสาหกรรมสำคัญในประเทศไทย มีบทบาทสำคัญทั้งในด้านเศรษฐกิจภายในประเทศและการส่งออก เนื่องจากประเทศไทยมีความพร้อมด้านทรัพยากรและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ซึ่งช่วยให้การผลิตไก่เนื้อมีคุณภาพสูงและได้ผลผลิตที่คุ้มค่า
1. อัตราแลกเนื้อ (FCR) คืออะไร
อัตราแลกเนื้อ (Feed Conversion Ratio: FCR) เป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพของการเลี้ยงสัตว์ โดยคำนวณจากปริมาณอาหารที่ใช้ทั้งหมด (กิโลกรัม) ต่อปริมาณน้ำหนักตัวที่สัตว์เพิ่มขึ้น (กิโลกรัม) สูตรคือ:
FCR=อาหารที่ใช้ (kg) / น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น (kg)
ยิ่ง FCR ต่ำ ยิ่งแสดงถึงประสิทธิภาพที่ดี เพราะหมายความว่าสัตว์ใช้อาหารน้อยลงเพื่อเพิ่มน้ำหนักตัว
2. FCR ของไก่เนื้อในประเทศไทย
ในประเทศไทย ค่า FCR ของไก่เนื้อเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1.6-1.8 ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ระบบการจัดการ และคุณภาพอาหาร ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วโลก
3. การทำให้ FCR ดีขึ้นต้องทำอย่างไรบ้าง
เพื่อปรับปรุง FCR ให้ดีขึ้นในระบบการเลี้ยงไก่เนื้อในประเทศไทย ควรดำเนินการดังนี้:
การปรับปรุงคุณภาพอาหาร
ใช้อาหารสูตรสมดุลที่เหมาะสมกับระยะการเจริญเติบโตของไก่ เช่น อาหารที่มีโปรตีนและพลังงานเพียงพอ รวมถึงการเติมวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็น
การจัดการฟาร์มที่ดีควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น และการระบายอากาศในโรงเรือน
จัดการความหนาแน่นของไก่ให้เหมาะสมเพื่อลดความเครียด
เลือกสายพันธุ์ที่เหมาะสม
ใช้สายพันธุ์ที่มีประสิทธิภาพการเจริญเติบโตสูง
ลดการเกิดโรค
ดูแลสุขภาพของไก่ด้วยการฉีดวัคซีนและจัดการด้านสุขอนามัยในฟาร์ม
การให้น้ำที่สะอาดและเพียงพอ
น้ำมีบทบาทสำคัญต่อกระบวนการเผาผลาญอาหาร
บทสรุป
การลดอัตราการตายอาจง่ายกว่าการเพิ่ม FCR เนื่องจากเกี่ยวข้องกับการจัดการด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่สามารถควบคุมได้ชัดเจนกว่า แต่ทั้งสองปัจจัยล้วนมีความสำคัญต่อการเพิ่มประสิทธิภาพและผลกำไรในฟาร์มไก่เนื้อ หากจัดการได้ทั้งสองด้าน จะส่งผลให้การผลิตไก่เนื้อมีต้นทุนที่ต่ำลงและคุณภาพที่สูงขึ้น.
#อาหารไก่เนื้อ
#เลี้ยงไก่เนื้อ
#โตไว
#ตายน้อย
#อาหารเสริมไก่เนื้อ
#อะมีโนไลท์
#ไซโปรวิท
#ไก่ไม่กินอาหาร
โดยสัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก้านโภชนาการสัตว์กว่า 30 ปี

โรคกระดูกอ่อน (Osteoporosis) ในไก่โตโรคกระดูกอ่อน (Osteoporosis) เป็นปัญหาที่พบได้ในไก่โต โดยเฉพาะไก่ไข่หรือไก่ที่เลี้ยง...
24/12/2024

โรคกระดูกอ่อน (Osteoporosis) ในไก่โต
โรคกระดูกอ่อน (Osteoporosis) เป็นปัญหาที่พบได้ในไก่โต โดยเฉพาะไก่ไข่หรือไก่ที่เลี้ยงในระบบปิดที่ขาดการเสริมแร่ธาตุและสารอาหารที่เหมาะสม โรคนี้ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ แต่เกิดจากการขาดสมดุลของธาตุอาหารในร่างกาย ซึ่งส่งผลกระทบต่อกระดูกและคุณภาพของการผลิต
อาการของโรค Osteoporosis ในไก่โต
อาการที่สังเกตได้ง่าย:ไก่มีอาการเดินกะเผลกหรือเดินไม่มั่นคง
กระดูกเปราะและแตกหักง่าย เช่น กระดูกขาหรือกระดูกสันหลัง
ทรงตัวลำบากและชอบนอนนิ่ง
น้ำหนักลดลง และไก่ดูผอมลงอย่างชัดเจน
อาการที่เกี่ยวกับการผลิต:ไก่ไข่ที่เป็นโรคจะมีอัตราการออกไข่ลดลง
ไข่ที่ออกมามักมีเปลือกบางหรือแตกง่าย
ไม่ใช่โรคติดต่อ:โรค Osteoporosis ในไก่ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค จึงไม่ติดต่อระหว่างตัวไก่
ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรค Osteoporosis ในไก่โต
การขาดแคลเซียมและฟอสฟอรัส:แคลเซียมและฟอสฟอรัสเป็นองค์ประกอบสำคัญของกระดูก หากขาดแคลเซียมในอาหาร หรือมีอัตราส่วนแคลเซียมต่อฟอสฟอรัสไม่สมดุล จะทำให้กระดูกอ่อนแอ
การขาดวิตามินดี3:วิตามินดี3 ช่วยดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสในลำไส้ หากขาดวิตามินนี้จะลดการนำแคลเซียมไปใช้ในร่างกาย
ความเครียดและสภาพแวดล้อม:ไก่ที่เลี้ยงในสภาพแวดล้อมที่แออัดหรือมีความเครียดสูงจะมีความเสี่ยงเกิดโรคมากขึ้น
การเลี้ยงแบบปิด:การเลี้ยงไก่ในโรงเรือนแบบปิดที่ไม่ได้รับแสงแดดเพียงพอ ทำให้เกิดการขาดวิตามินดี3
พันธุกรรม:ไก่ไข่สายพันธุ์ที่ผลิตไข่สูงมีโอกาสเกิดโรคนี้มากกว่าไก่พันธุ์อื่น เนื่องจากร่างกายใช้แคลเซียมมากในการผลิตไข่
การป้องกันและการจัดการโรค Osteoporosis ในไก่โต
เสริมธาตุอาหาร:แคลเซียม: ให้แหล่งแคลเซียมคุณภาพดี เช่น หินปูนบดละเอียด หรือเปลือกหอยบด ในอัตราส่วน 3-4% ของอาหารทั้งหมด
ฟอสฟอรัส: เสริมฟอสฟอรัสในอัตราส่วนที่เหมาะสม โดยควบคุมอัตราส่วนแคลเซียมต่อฟอสฟอรัสให้อยู่ที่ 2:1
วิตามินดี3: เสริมวิตามินดี3 ในอาหารหรือใช้อาหารเสริมเพื่อช่วยในการดูดซึมแคลเซียม
เสริมกรดอะมิโน:ไลซีน (Lysine): ช่วยในการเจริญเติบโตและเสริมสร้างกระดูก
เมไทโอนีน (Methionine): ช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อและโครงสร้างของร่างกาย
จัดการสิ่งแวดล้อม:ลดความเครียดโดยควบคุมความแออัดในโรงเรือน
ให้ไก่ได้รับแสงแดดอย่างเหมาะสมเพื่อกระตุ้นการสร้างวิตามินดี3
ตรวจสุขภาพไก่:ตรวจสอบคุณภาพกระดูกในไก่เป็นประจำ เพื่อป้องกันปัญหาโรคลุกลาม
เปรียบเทียบการป้องกันด้วยอาหารเสริมและวิตามินกับการรักษาด้วยยา
1. การเปลืองแรงงาน
การป้องกันด้วยอาหารเสริม:
การผสมอาหารเสริมในอาหารประจำวันง่ายต่อการจัดการและไม่ต้องใช้แรงงานมาก
การรักษาด้วยยา:
ต้องแยกไก่ที่ป่วยออกมารักษาเป็นรายตัว ซึ่งใช้แรงงานมากและเพิ่มความยุ่งยากในฟาร์ม
2. ต้นทุน
การป้องกันด้วยอาหารเสริม:
มีต้นทุนต่ำกว่าในระยะยาว เนื่องจากป้องกันไม่ให้เกิดโรคตั้งแต่แรก
การรักษาด้วยยา:
ต้นทุนสูงกว่าเพราะต้องซื้อยาและมีค่าแรงงานเพิ่มเติม
3. ผลตอบแทน
การป้องกันด้วยอาหารเสริม:
ไก่ที่ได้รับสารอาหารครบถ้วนมีสุขภาพแข็งแรง ให้ผลผลิตไข่และเนื้อคุณภาพดีอย่างสม่ำเสมอ
การรักษาด้วยยา:
แม้ไก่ที่ป่วยจะหายจากโรค แต่อาจไม่สามารถคืนประสิทธิภาพการผลิตได้เต็มที่ เช่น อัตราการออกไข่ลดลง หรืออาจไม่เหมาะสมสำหรับการขาย
ข้อสรุป
การป้องกันโรค Osteoporosis ในไก่โตด้วยการเสริมอาหารที่มีแคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินดี3 และแมกนีเซียมที่เหมาะสม เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ คุ้มค่า และลดความยุ่งยากในฟาร์มมากกว่าการรักษาโรคเมื่อเกิดปัญหาแล้ว การจัดการโภชนาการที่ดีจะช่วยลดต้นทุนแรงงาน ลดความสูญเสีย และเพิ่มผลตอบแทนในระยะยาว เกษตรกรควรให้ความสำคัญกับการป้องกันมากกว่าการรักษาเพื่อความยั่งยืนของการเลี้ยงไก่
#อาหารไก่เนื้อ
#เลี้ยงไก่เนื้อ
#โตไว
#ตายน้อย
#อาหารเสริมไก่เนื้อ
#อะมีโนไลท์
#ไซโปรวิท
#ไก่ไม่กินอาหาร
โดยสัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก้านโภชนาการสัตว์กว่า 30 ปี

กรดอะมิโนที่ช่วยลดความเครียดในไก่เนื้อมีหลายชนิด แต่ที่สำคัญและมีการศึกษาวิจัยมากที่สุดคือ ทริปโตเฟน (Tryptophan) และไทโ...
18/09/2024

กรดอะมิโนที่ช่วยลดความเครียดในไก่เนื้อมีหลายชนิด แต่ที่สำคัญและมีการศึกษาวิจัยมากที่สุดคือ ทริปโตเฟน (Tryptophan) และไทโรซีน (Tyrosine) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการลดความเครียดของไก่เนื้อ มาดูกลไกการทำงานของกรดอะมิโนเหล่านี้กันครับ:

อะมีโน ทริปโตเฟน (Tryptophan):

กลไกการทำงาน:

เป็นสารตั้งต้นในการสร้างเซโรโทนิน (Serotonin) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่ช่วยควบคุมอารมณ์และความเครียด
เซโรโทนินยังเป็นสารตั้งต้นในการสร้างเมลาโทนิน (Melatonin) ซึ่งช่วยควบคุมวงจรการนอนหลับและตื่น

วิธีการลดความเครียด:

ช่วยให้ไก่รู้สึกผ่อนคลายและสงบ
ปรับปรุงคุณภาพการนอน ซึ่งช่วยในการฟื้นฟูร่างกายและลดความเครียด
ช่วยควบคุมความอยากอาหาร ซึ่งอาจถูกรบกวนเมื่อไก่เครียด

อะมีโน ไทโรซีน (Tyrosine):

กลไกการทำงาน:

เป็นสารตั้งต้นในการสร้างโดปามีน (Dopamine) และนอร์อีพิเนฟริน (Norepinephrine) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่เกี่ยวข้องกับการตอบสนองต่อความเครียด
มีบทบาทในการสร้างฮอร์โมนไทรอยด์ ซึ่งควบคุมกระบวนการเผาผลาญในร่างกาย

วิธีการลดความเครียด:

ช่วยปรับสมดุลของสารสื่อประสาทในสมอง ทำให้ไก่สามารถรับมือกับความเครียดได้ดีขึ้น
ช่วยเพิ่มความสามารถในการจดจ่อและการตอบสนองต่อสิ่งเร้า ซึ่งอาจถูกรบกวนเมื่อเกิดความเครียด
ช่วยควบคุมอุณหภูมิร่างกาย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการจัดการความเครียดจากความร้อน

นอกจากนี้ ยังมีกรดอะมิโนอื่นๆ ที่มีส่วนช่วยในการลดความเครียดของไก่เนื้อ เช่น:

กลูตามีน (Glutamine):

ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งอาจถูกกดเมื่อไก่เครียด
มีบทบาทสำคัญในการรักษาสุขภาพลำไส้ ซึ่งเชื่อมโยงกับสุขภาพจิตและความเครียด

อะมีโน อาร์จินีน (Arginine):

ช่วยในการสร้างไนตริกออกไซด์ ซึ่งช่วยขยายหลอดเลือดและปรับปรุงการไหลเวียนของเลือด
มีส่วนช่วยในการควบคุมอุณหภูมิร่างกาย ซึ่งสำคัญในการจัดการความเครียดจากความร้อน

อะมีโน ไกลซีน (Glycine):

มีคุณสมบัติในการกล่อมประสาท ช่วยให้ไก่รู้สึกผ่อนคลาย
มีบทบาทในการสังเคราะห์กลูตาไธโอน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ

การนำไปใช้:

เสริมกรดอะมิโนเหล่านี้ในอาหารไก่ โดยเฉพาะในช่วงที่คาดว่าจะมีความเครียดสูง เช่น ช่วงอากาศร้อนจัด หรือช่วงการเปลี่ยนแปลงในการจัดการฟาร์ม
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการสัตว์เพื่อกำหนดปริมาณที่เหมาะสม เนื่องจากความต้องการอาจแตกต่างกันตามสายพันธุ์ อายุ และสภาพแวดล้อม
พิจารณาใช้ร่วมกับวิธีการจัดการความเครียดอื่นๆ เช่น การควบคุมอุณหภูมิและความชื้น การจัดการแสงสว่าง และการลดความหนาแน่นของฝูง

การเสริมกรดอะมิโนเหล่านี้อย่างเหมาะสมสามารถช่วยเพิ่มความทนทานต่อความเครียด ปรับปรุงสุขภาพโดยรวม และส่งเสริมประสิทธิภาพการผลิตของไก่เนื้อได้
#อาหารไก่เนื้อ #เลี้ยงไก่เนื้อ #วิธีดูแลไก่เนื้อ

การควบคุมอุณหภูมิและความชื้นในโรงเรือนเลี้ยงไก่เนื้อในประเทศไทยเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพและการเจริญเติบโตของไก่ ใ...
18/09/2024

การควบคุมอุณหภูมิและความชื้นในโรงเรือนเลี้ยงไก่เนื้อในประเทศไทย
เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพและการเจริญเติบโตของไก่ ในประเทศไทยซึ่งมีภูมิอากาศร้อนชื้น การจัดการสภาพแวดล้อมในโรงเรือนจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
# #การควบคุมอุณหภูมิตามช่วงอายุของไก่

#ช่วงอายุ 1-7 วัน
อุณหภูมิที่เหมาะสม: 32-35°C
การจัดการ: ใช้เครื่องกกหรือฮีตเตอร์ให้ความอบอุ่น
การระบายอากาศ: เปิดพัดลมระบายอากาศเบาๆ เพื่อกำจัดก๊าซพิษ

#ช่วงอายุ 8-14 วัน
อุณหภูมิที่เหมาะสม: 29-32°C
การจัดการ: เริ่มลดการใช้เครื่องกก เพิ่มการระบายอากาศ
การระบายอากาศ: เพิ่มความเร็วพัดลมระบายอากาศ

#ช่วงอายุ 15-21 วัน
อุณหภูมิที่เหมาะสม: 26-29°C
การจัดการ: อาจเริ่มใช้ระบบ Evaporative Cooling ในช่วงกลางวันที่อากาศร้อนจัด
การระบายอากาศ: เพิ่มความเร็วพัดลมและปริมาณการระบายอากาศ

#ช่วงอายุ 22-28 วัน
อุณหภูมิที่เหมาะสม: 23-26°C
การจัดการ: ใช้ระบบ Evaporative Cooling ตามความจำเป็น
การระบายอากาศ: เพิ่มความเร็วพัดลมสูงสุด

#ช่วงอายุ 29 วันขึ้นไป

อุณหภูมิที่เหมาะสม: 18-23°C
การจัดการ: ใช้ระบบ Evaporative Cooling อย่างเต็มที่ในช่วงกลางวัน
การระบายอากาศ: ใช้พัดลมระบายอากาศเต็มกำลัง

การควบคุมความชื้น

ความชื้นสัมพัทธ์ที่เหมาะสม: 50-70%
ช่วง 1-3 วันแรก: อาจต้องการความชื้นสูงถึง 70-80%
หลังจากนั้น: ควรรักษาระดับความชื้นให้อยู่ประมาณ 50-60%

คำแนะนำการใช้พัดลมและระบบ Evaporative Cooling

การใช้พัดลมระบายอากาศ

เริ่มใช้ตั้งแต่วันแรก เพื่อระบายก๊าซพิษและควบคุมความชื้น
เพิ่มความเร็วและปริมาณการระบายอากาศตามอายุไก่ที่เพิ่มขึ้น
ใช้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยปรับความเร็วตามสภาพอากาศ

การใช้ระบบ Evaporative Cooling

ช่วงอายุ 1-14 วัน: ไม่จำเป็นต้องใช้ในสภาพอากาศปกติ
ช่วงอายุ 15-21 วัน: เริ่มใช้ในช่วงกลางวันที่อากาศร้อนจัด
ช่วงอายุ 22 วันขึ้นไป: ใช้ตามความจำเป็น โดยเฉพาะในช่วงกลางวัน
ควบคุมการใช้งานตามอุณหภูมิและความชื้นภายในโรงเรือน

ข้อควรระวัง

หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างฉับพลัน
ตรวจสอบการกระจายตัวของอุณหภูมิในโรงเรือนอย่างสม่ำเสมอ
สังเกตพฤติกรรมของไก่เพื่อประเมินความสบายของพวกมัน
ปรับการจัดการตามสภาพอากาศและฤดูกาล
ระวังความชื้นสูงเกินไปเมื่อใช้ระบบ Evaporative Cooling

การควบคุมอุณหภูมิและความชื้นที่เหมาะสมจะช่วยลดความเครียด ส่งเสริมการเจริญเติบโต และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของไก่เนื้อ การปรับใช้เทคนิคต่างๆ ควรคำนึงถึงสภาพแวดล้อมเฉพาะของฟาร์ม และปรับให้เหมาะสมกับสภาพอากาศในแต่ละพื้นที่ของประเทศไทย
#เลี้ยงไก่เนื้อ #ดูแลไก่เนื้อ #อาหารไก่เนื้อ #สารเสริมไก่เนื้อ

สำหรับ "ตลาดซื้อขายวัวนม" มักมีการเเบ่งเกรด คุณภาพน้ำนมตามราคารับซื้อ โดยจะเเบ่งตาม % โปรตีน, % ไขมัน และ % เนื้อนมไม่รว...
15/09/2024

สำหรับ "ตลาดซื้อขายวัวนม" มักมีการเเบ่งเกรด คุณภาพน้ำนมตามราคารับซื้อ โดยจะเเบ่งตาม % โปรตีน, % ไขมัน และ % เนื้อนมไม่รวมมันเนย (Solids-Non-Fat หรือ SNF) โดยการจะทำน้ำนมให้ได้คุณภาพจะต้องอาศัย สภาพอากาศ "สารพันธุ์แม่วัว" และคุณภาพอาหาร สำหรับน้ำนมแต่ละเกรด ดังนี้

เกรด Premium:
มีค่าโปรตีน ไขมัน และเนื้อนมไม่รวมมันเนยสูงที่สุด
โปรตีน 3.5%, ไขมัน 4.0%, SNF 8.9%

เกรด A:
มีค่าต่างๆ สูงรองลงมาจากเกรด Premium
โปรตีน 3.2%, ไขมัน 3.5%, SNF 8.5%
เหมาะสำหรับนมพาสเจอร์ไรส์ทั่วไป โยเกิร์ต และชีสคุณภาพดี ราคาอยู่ระหว่าง 19-21 บาท/กก

เกรด B:
มีค่าปานกลาง
โปรตีน 3.0%, ไขมัน 3.2%, SNF 8.25%
เหมาะสำหรับการผลิตเนยแข็ง นมข้นหวาน และไอศกรีมทั่วไป ราคาอยู่ระหว่าง 17-18 บาท/กก

เกรด C:

มีค่าต่ำที่สุดในทุกด้าน แต่ยังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำ
โปรตีน 2.8%, ไขมัน 3.0%, SNF 8.0%
เหมาะสำหรับการผลิตเนย เนยแข็งที่ต้องผ่านกระบวนการแปรรูปมาก และนมผงสำหรับอุตสาหกรรม ราคาอยู่ระหว่าง 15-16 บาท/กก.

ข้อสังเกตเพิ่มเติม:

ค่าโปรตีนและไขมันมีความแตกต่างชัดเจนระหว่างเกรด
ค่า SNF มีความแตกต่างน้อยกว่าเมื่อเทียบกับโปรตีนและไขมัน แต่ยังคงสูงขึ้นตามเกรดที่ดีขึ้น

#วิธีเลี้ยงวัวนม #อาหารวัวนม #โรงเรือนวัวนม #พันธุ์วัวนม #ตลาดซื้อขายวัวนม

 #โรคกัมโบโร เป็นโรคที่สำคัญในสัตว์ปีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในไก่ ผมจะอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับสาเหตุ สัตว์ที่ได้รับผลกระทบ ...
13/09/2024

#โรคกัมโบโร เป็นโรคที่สำคัญในสัตว์ปีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในไก่ ผมจะอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับสาเหตุ สัตว์ที่ได้รับผลกระทบ และอาการในแต่ละชนิดสัตว์:

สาเหตุของโรคกัมโบโร:
โรคกัมโบโรเกิดจากเชื้อไวรัสในตระกูล Birnaviridae ชื่อ Infectious Bursal Disease Virus (IBDV) ซึ่งมีลักษณะเด่นคือ:

เป็นไวรัส RNA สายคู่
มีความทนทานสูงในสิ่งแวดล้อม
สามารถแพร่กระจายได้ง่ายผ่านสิ่งขับถ่าย อุปกรณ์ และสัตว์พาหะ

อาการในแต่ละชนิดสัตว์:
🐤a) ไก่ (Chickens):

อาการรุนแรงที่สุดในบรรดาสัตว์ปีกทั้งหมด
ซึม เบื่ออาหาร ขนฟู
ท้องเสีย (อุจจาระสีขาว)
อัตราการตายสูงในไก่อายุ 3-6 สัปดาห์
กดภูมิคุ้มกัน ทำให้อ่อนแอต่อโรคอื่นๆ
อาจพบจุดเลือดออกที่กล้ามเนื้อขา อก และปีก

🐤b) ไก่งวง (Turkeys):

มักติดเชื้อแบบไม่แสดงอาการ (subclinical infection)
อาจพบอาการซึมเล็กน้อย และการเจริญเติบโตช้าลง
ไม่พบอัตราการตายสูงเหมือนในไก่

🦆c) เป็ด (Ducks):

อาการมักไม่รุนแรงเท่าไก่
อาจพบอาการซึม เบื่ออาหาร และท้องเสียเล็กน้อย
การเจริญเติบโตอาจช้าลง
อัตราการตายต่ำกว่าในไก่มาก

ความรุนแรงของโรคกัมโบโรในสัตว์ปีกชนิดต่างๆ
แในสัตว์ปีกชนิดต่างๆ โดยไก่จะได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด ในขณะที่สัตว์ปีกชนิดอื่นๆ มักมีอาการที่รุนแรงน้อยกว่าหรือไม่แสดงอาการ

#การป้องกันและควบคุมโรคกัมโบโร:

การให้วัคซีนตามโปรแกรมที่เหมาะสม
การให้อาหารและวิตามินที่เหมาะสม
การรักษาสุขอนามัยในฟาร์มอย่างเข้มงวด
การควบคุมการเข้า-ออกของบุคคลและยานพาหนะ
การกำจัดสัตว์พาหะ เช่น หนู แมลง
การทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรงเรือนและอุปกรณ์อย่างสม่ำเสมอ
การแยกสัตว์ป่วยออกจากฝูงทันทีที่พบอาการผิดปกติ

โรคกัมโบโรเป็นโรคที่สำคัญในอุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ปีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเลี้ยงไก่เนื้อและไก่ไข่ การป้องกันและควบคุมโรคอย่างมีประสิทธิภาพจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในการเลี้ยงสัตว์ปีก

ปลายทางรอรับได้เลยครับขอบคุณทุกความไว้วางใจที่มีให้เรา #ออเดอร์วันนี้  สำหรับ  #โคนม  #อะมิโนไลท์ โตไวเกิน ไก่เนื้อ #อาห...
02/07/2024

ปลายทางรอรับได้เลยครับ
ขอบคุณทุกความไว้วางใจที่มีให้เรา
#ออเดอร์วันนี้
สำหรับ #โคนม
#อะมิโนไลท์ โตไวเกิน ไก่เนื้อ
#อาหารเสริมไก่ #อาหารเสริมโคนม #อาหารเสริมโคเนื้อ #โตไวเกิน #ใช้นิดเดียว

☀️☀️💥💥🔥🔥ร้อนขนาดนี้ ☀️☀️💥💥🔥🔥ปัญหาอากาศร้อนช่วงนี้ทำให้ไก่ของพี่ ๆ มีอาการอ่อนล้า เพลีย ป่วยง่ายใช่หรือไม่ ปัญหาเกิดจากคว...
02/07/2024

☀️☀️💥💥🔥🔥ร้อนขนาดนี้ ☀️☀️💥💥🔥🔥
ปัญหาอากาศร้อนช่วงนี้ทำให้ไก่ของพี่ ๆ มีอาการอ่อนล้า เพลีย ป่วยง่ายใช่หรือไม่ ปัญหาเกิดจากความเครียดเนื่องจากอากาศเปลี่ยน การระบายความร้อน ไก่ผิดเพี้ยน ทำให้การดูดซึมสารอาหารไม่สมบูรณ์
ใช้ อะมิโนไลท์ ไซโปรวิท เป็นตัวช่วย จะเห็นผลชัดเจนครับ ‼️
ปัญหาการเลี้ยงไก่คือ "ความเครียด"ที่เกิดได้จาก ความเปลี่ยนแปลงที่ไก่รู้สึกได้ เช่น
-อากาศเปลี่ยน
-เปลี่ยนเบอร์อาหาร
ผลคือ ระบบดูดซึมสารอาหารมีปัญหา
😨😰ทำให้เกิดอาการ ท้องเสีย ง่วงซึม เเละปัญหาที่เกิดคือ😨😰
🐔 ไก่ท้องเสียช่วงเปลี่ยนอาหาร
🐔 ไก่ไม่อยากอาหาร
🐔 ไก่ตายช่วงสัปดาห์แรกเยอะ
🐔 ไก่เครียดอัตราเเลกเนื้อไม่ดี ไก่เเตกไซส์
🐔 ไก่ติดโรคง่ายเมื่ออากาศเปลี่ยน
การป้องกันคือการเติมเต็มสารอาหาร วิตามินที่ขาดตก
ในช่วงเวลาดังกล่าว 3-5 วัน เท่านั้นเอง เห็นไหม
ว่ามันไม่ได้วุ่นวายอะไรเลย **หากท่านเข้าใจเเล้ว
"การเลี้ยงไก่ให้ได้กำไรเพิ่มขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องยาก"
เเนะนำใช้
ใช้ อะมิโนไลท์ ไซโปรวิต เป็นตัวช่วย จะเห็นผลชัดเจนครับ ‼️
ช่วยแก้ปัญหา ดังกล่าว 
✅กรดอะมิโน : อะมิโนไลฟ์ (อะมีโนชดเชยการดูดซึมโปรตีน)
✅ไซโปรวิต วิตามินรวม (สร้างภูมิคุ้มกันลดความเครียด)
🐣อะมิโนไลฟ์ 1 ลิตร 350 บาทผสมน้ำ 1000 ลิตร
✅กรดอะมีโนชดเชยการดูดซึมโปรตีนที่ผิดเพี้ยน จากความเครียด
🐣ไซโปรวิต 1 ลิตร 450 บาทผสมน้ำ 1500 ลิตร
✅ลดอาการขาดวิตามินในไข่ไก่ ลดความเครียดจากสภาพเเวดล้อม อากาศเปลียน
ให้กิน 3-5 วันช่วงเปลี่ยนอาหาร เคลื่อนย้ายสัตว์ หากสนใจหรือจะสอบถามเพิ่มเติม หรือโทร 0824966515
#เลี้ยงไก่เนื้อ #ลดต้นทุนการเกษตร #อาหารสัตว์ #ลดการใช้ยา #ไก่เนื้อ #ไก่ไข่ #ไก่สามสาย

รีวิวจากลูกค้า Bacillus carry อาหารเสริมชีวภาพหมูขุนแม่พันธุ์ คุณภาพ ส่งออกต่างประเทศ-ลดอัตราการตายจาก 3-5% เหลือ 1%-โตไ...
12/04/2023

รีวิวจากลูกค้า
Bacillus carry อาหารเสริมชีวภาพหมูขุนแม่พันธุ์ คุณภาพ ส่งออกต่างประเทศ

-ลดอัตราการตายจาก 3-5% เหลือ 1%
-โตไวได้น้ำหนักไวกว่าปกติ 3-5 วัน
-ลดความเสี่ยงการเกิด เช่น โรคปอด เชื้อราในลำไส้
-อาการท้องอืดจะไม่มี 100%
-ช่วยให้แม่พันธุ์ มีปริมาณน้ำนมมาก เพิ่มอัตราการหย่านม ลูกหมูเข็งแรง
รับรองผลแน่นอน
ค่าอาหารเสริม30-40 บาท/หมูขุน1ตัว จนน้ำหนัก110 กก หรือ100 วัน
สนใจติดต่อ inbox ติดต่อ o824966515 ได้เลยครับ
ยินดีให้ทดลองใช้ฟรีและให้คำปรึกษา
bacilluscarry #แข็งแรง #โตไว #ไม่มีโรค #เลี้ยงง่ายไม่ปวดหัว #อาหารเสริมสุกร

Bacillus carry อาหารเสริมชีวภาพหมูขุนแม่พันธุ์ คุณภาพ ส่งออกต่างประเทศจุลินทรีย์ช่วยย่อยแป้ง เพิ่มความหลากหลายของจุลินทร...
19/11/2022

Bacillus carry อาหารเสริมชีวภาพหมูขุนแม่พันธุ์ คุณภาพ ส่งออกต่างประเทศ
จุลินทรีย์ช่วยย่อยแป้ง เพิ่มความหลากหลายของจุลินทรีย์ในลำไส้ เพิ่มกำลังการดูดซึมสารอาหาร 2 เท่า ไม่มีเคมีเเละยาปฏิชีวนะ
-ลดอัตราการตายจาก 3-5% เหลือ 1%
-โตไวได้น้ำหนักไวกว่าปกติ 3-5 วัน
-ลดความเสี่ยงการเกิด เช่น โรคปอด เชื้อราในลำไส้
-อาการท้องอืดจะไม่มี 100%
-ช่วยให้แม่พันธุ์ มีปริมาณน้ำนมมาก เพิ่มอัตราการหย่านม ลูกหมูเข็งแรง
รับรองผลแน่นอน
จากสัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการกว่า30ปี
วิธีใช้ ผสมอาหารเสริม 1 กก ต่ออาหารหลัก 1000 กก (อัตราส่วน 1:1000) หรือให้กินวันละ2-3 ช้อนโต๊ะ ต่อวัน
กำไรเพิ่มแน่นอน
ราคา 120 บาท/กก
ค่าอาหารเสริม30-40 บาท/หมูขุน1ตัว จนน้ำหนัก110 กก หรือ100 วัน
สนใจติดต่อ inbox ติดต่อ o824966515 ได้เลยครับ
ยินดีให้ทดลองใช้ฟรีและให้คำปรึกษา
bacilluscarry #แข็งแรง #โตไว #ไม่มีโรค #เลี้ยงง่ายไม่ปวดหัว

ที่อยู่

Bangkok
10310

เบอร์โทรศัพท์

+66824966515

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Nutrisacc Diary อาหารเสริมชีวภาพ หมู ไก่ วัวผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง Nutrisacc Diary อาหารเสริมชีวภาพ หมู ไก่ วัว:

แชร์

ประเภท