VPN Magazine นิตยสารรายเดือน และ E-magazine สำหรับสัตวแพทย์
สมัครสมาชิกที่ www.readvpn.com
Line :
(1)

VPN (Veterinary Practitioners NEWS)
นิตยสารรายเดือนสำหรับสัตวแพทย์

ออกทุกวันที่ 15 ของเดือน

สามารถติดต่อสั่งซื้อ/สมัครสมาชิกใหม่/ต่ออายุสมาชิก
ได้ผ่านทาง LINE@
แค่คลิ๊ก https://line.me/R/ti/p/%40vpnmagazine
หรือ Line ID : (มี@ด้วย)

โรคหมอนรองกระดูก (intervertebral disc disease; IVD) เป็นโรคทางระบบประสาทที่พบได้บ่อยในสุนัขและอาจจะพบได้บางครั้งในแมว โด...
10/03/2025

โรคหมอนรองกระดูก (intervertebral disc disease; IVD) เป็นโรคทางระบบประสาทที่พบได้บ่อยในสุนัขและอาจจะพบได้บางครั้งในแมว โดยสาเหตุหลักมักจะเกิดจากความเสื่อมของหมอนรองกระดูก ซึ่งเกิดได้จากหลายปัจจัยเช่น สายพันธุ์ พันธุกรรม ความเสื่อมของโครงสร้างหมอนรองกระดูกตามอายุ หรืออาจจะโน้มนำจากการบาดเจ็บของกระดูกสันหลังจากอุบัติเหตุ โดยอาการของสัตว์เลี้ยงที่ป่วยด้วยโรคหมอนรองกระดูกนั้นจะพบได้ตั้งแต่อาการปวดไปจนถึงการสูญเสียความสามารถในการเดินและการขับถ่าย ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของสัตว์เลี้ยงและเจ้าของ ดังนั้นการมีความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคหมอนรองกระดูก จะนำมาซึ่งการตรวจวินิจฉัยและการรักษาที่มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้เพื่อเพิ่มโอกาสที่ดีในการฟื้นตัวของสัตว์ป่วย
กายวิภาคหมอนรองกระดูกสันหลัง
โครงสร้างหมอนรองกระดูกประกอบด้วยเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่มีองค์ประกอบและหน้าที่แตกต่างกัน โดยแบ่งออกเป็น 4 ส่วน ได้แก่ anulus fibrosus (AF) ที่อยู่บริเวณรอบนอกของหมอนรองกระดูก (outer fibrous layer) เนื้อเยื่อของชั้นนี้จะประกอบด้วย collagen type I, elastin fibers และ fibroblast-like cells ในขณะที่บริเวณตรงกลางของหมอนรองกระดูกจะเป็นส่วนของ nucleus pulposus (NP) มีลักษณะเป็น gel-like layer ซึ่งประกอบไปด้วย hydrated gelatinous matrix โดยมีส่วนประกอบหลักเป็น proteoglycan และ collagen type 2 โดย proteoglycan จะมีประจุไฟฟ้าเป็นลบ จึงมีคุณสมบัติเป็น strong osmotic gradient ดึงน้ำเข้ามาสะสมใน NP ส่วนบริเวณที่กั้นอยู่ระหว่าง AF และ NP คือส่วนของ transitional zone (TZ)
ถัดมาจะเป็นบริเวณที่ติดอยู่กับกระดูกสันหลังคือส่วนของ cartilaginous endplate (CE) โดยปฏิสัมพันธ์ของส่วนประกอบต่าง ๆ เหล่านี้ส่งผลทำให้หมอนรองกระดูกมีคุณสมบัติทนต่อแรงดึง มีความหยืดหยุ่นและความหนืดสูง ทำหน้าที่ในการรองรับแรงกระแทกที่เกิดจากการใช้งานกระดูกสันหลังเวลาที่สัตว์เคลื่อนไหว นอกจากนี้ยังมีโครงสร้างของ fibrous tissue ได้แก่ dorsal longitudinal ligament, ventral longitudinal ligament และ intercapital ligament ที่วางตัวอยู่รอบ ๆ หมอนรองกระดูก ซึ่งส่วนประกอบต่าง ๆ เหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของโครงสร้างกระดูกสันหลังมากขึ้น
ประวัติความเป็นมา
โรคหมอนรองกระดูกถูกค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1896 ในสุนัขสายพันธุ์ Dachshund โดย Dexler ซึ่งต่อมาในปี ค.ศ. 1949-1950 มีการค้นคว้าเพิ่มเติมโดย Hansen และ Olsson ซึ่งพบว่าพยาธิสภาพของความเสื่อมของหมอนรองกระดูกจะเกิดแตกต่างกันในแต่ละสายพันธุ์ จึงได้มีการแบ่งโรคหมอนรองกระดูกในสุนัขออกเป็น 2 ชนิดดังนี้
1. Hansen type I โรคหมอนรองกระดูกที่เกิดจาก chondroid metaplasia ส่งผลทำให้ chondrocyte-like cell ที่บริเวณ NP เกิดการสูญเสียน้ำและเกิดการสะสมของแคลเซียม ส่งผลทำให้คุณสมบัติความหยืดหยุ่นของหมองรองกระดูกลดลงและเกิดการแตกเฉียบพลันของ NP ทะลุผ่านชั้น AF ขึ้นไปกดทับไขสันหลังหรือที่เรียกว่า “Acute Disc Extrusion” โดยหมองรองกระดูกแบบนี้จะเกิดในสุนัขกลุ่มสายพันธุ์ chondrodystrophic ซึ่งสุนัขในกลุ่มนี้จะมีลักษณะลำตัวยาวและขาสั้น ได้แก่ Beagles, Basset Hounds, Cocker Spaniels, French Bulldog และ Pembroke Welsh Corgis
โดยความเสื่อมของหมอนรองกระดูกในสุนัขสายพันธุ์นี้สามารถพบได้ตั้งแต่สัตว์อายุน้อย โดยมีอายุเฉลี่ยประมาณ 1 ปีและอาจเกี่ยวข้องกับความผิดปกติทางพันธุกรรมของยีน fibroblast growth factor 4 (FGF4) บนโครโมโซมคู่ที่ 12 ซึ่งในปัจจุบันสามารถตรวจหายีนความผิดปกติดังกล่าวเพื่อคัดกรองสุนัขพ่อแม่พันธุ์หรือเป็นแนวทางในการดูแลสุนัข นอกจากนี้ยังมีรายงานการเกิดในแมว โดยสายพันธุ์ที่พบ ได้แก่ Domestic Shorthair, British Shorthair, Bengal, Persian และ Sphynx
2. Hansen type II โรคหมอนรองกระดูกที่เกิดจาก fibroid metaplasia ส่งผลทำให้ fibroblast- like cell ที่บริเวณ AF เกิดความเสื่อมและหนาตัวขึ้นไปกดทับไขสันหลังแบบเรื้อรังหรือที่เรียกว่า “Chronic Disc Protrusion” โดยโรคหมอนรองกระดูกแบบนี้จะเกิดในสุนัขกลุ่มสายพันธุ์ใหญ่ในกลุ่ม non-chondrodystrophic ได้แก่ Labrador Retriever, Golden Retriever, Rottweiler, German Shepherd และ Siberian Husky โดยสามารถพบได้ในสุนัขอายุมาก โดยมีอายุเฉลี่ยประมาณ 7 ปีและอาจพบร่วมกับกลุ่มโรคความเสื่อมของโครงสร้างกระดูกสันหลังส่วนอื่น ๆ ได้แก่ disc-associated cervical spondylomyelopathy (Wobbler syndrome) และ degenerative lumbosacral stenosis
การวินิจฉัย
การตรวจวินิจฉัยสัตว์ป่วยโรคหมอนรองกระดูกเริ่มจากการตรวจร่างกายทั่วไป การตรวจระบบประสาทเพื่อระบุรอยโรคและประเมินความรุนแรงของระดับอัมพาต (paretic score) นอกจากนี้ในปัจจุบันการวินิจฉัยเพื่อยืนยันโรคสามารถทำได้โดยอาศัยเครื่องมือและเทคนิคทางรังสีวิทยาดังนี้
1. เอกซเรย์หรือภาพถ่ายรังสี (radiography) เป็นเครื่องมือพื้นฐานที่ใช้ในการตรวจหารอยโรคและความผิดปกติของโครงสร้างกระดูกสันหลังเบื้องต้น โดยภาพเอกซเรย์ในสุนัขที่เป็นโรคหมอนรองกระดูกเสื่อมแบบ Hansen type I จะพบลักษณะของ disc calcification, disc space collapse และ spondylosis
2. การฉีดสารทึบรังสีเข้าไปในชั้น subarachnoid space (myelography) โดยตำแหน่งที่ฉีดได้แก่บริเวณ cerebellomedullary cistern หรือ บริเวณ lumbar L5-L6ในสุนัขและ L6-L7 ในแมว สารรังสีที่นิยมใช้ ได้แก่ iohexol ขนาดยาสูงสุดที่ใช้คือ 0.45 ml/kg โดยจะพบลักษณะของ extradural compression pattern ตรงตำแหน่งที่มีการกดทับและสามารถบ่งบอกการกดทับว่าอยู่ข้างใดมากกว่ากัน อย่างไรก็ตามเทคนิคนี้ไม่สามารถให้รายละเอียดของรอยโรคที่อยู่ในเนื้อไขสันหลังได้ชัดเจน ทั้งนี้ยังต้องเฝ้าระวังผลข้างเคียงหลังทำหัตถการ ได้แก่ ชัก (seizure) หัวใจเต้นผิดปกติ (cardiac arrhythmias) ระบบทางเดินหายใจล้มเหลว (respiratory arrest) และเสียชีวิต ในกรณีที่สัตว์ป่วยมีภาวะความผิดปกติของเกล็ดเลือด การแข็งตัวของเลือด การหักเคลื่อนของกระดูกสันหลังควรหลีกเลี่ยงการทำหัตการนี้ด้วยเช่นกัน
3. ภาพถ่ายเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (computed tomography scan; CT scan) เป็นเครื่องมือที่แสดงภาพเป็นสามมิติ โดยจะสามารถให้รายละเอียดของโครงสร้างกระดูกสันหลังในส่วนที่เป็นกระดูกได้ดีแต่จะให้รายละเอียดของเนื้อเยื่ออ่อนอย่างไขสันหลังได้น้อย ดังนั้นในกรณีที่ไม่ใช่ calcified disc material หรือหมอนรองกระดูกแบบ Hansen Type II อาจจะทำควบคู่กับหัตถการ myelography (CT-myelography) หรือการใช้เทคนิคการฉีดสารรังสีเข้าเส้นเลือด เพื่อเพิ่มความชัดเจนของผลการตรวจวินิจฉัย
4. การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (magnetic resonance imaging; MRI) เป็นเครื่องมือที่ถือว่าเป็น gold standard สำหรับการวินิจฉัยโรคหมองรองกระดูก ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายมากขึ้นในปัจจุบัน โดยภาพถ่าย MRI จะสามารถให้รายละเอียดของโครงสร้างกระดูกสันหลังอย่าง vertebral column, ligamentous structures, synovial joints, bone marrow, nerve roots, spinal cord parenchyma, cerebrospinal fluid, epidural fat และส่วนประกอบแต่ละชั้นของหมอนรองกระดูก ดังนั้นจึงสามารถวินิจฉัยแยกชนิดของโรคหมอนรองกระดูกได้
ซึ่งเป็นข้อดีที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในวินิจฉัยและการวางแผนการรักษาสัตว์ป่วยที่แตกต่างกัน รวมทั้งยังใช้เป็นเครื่องมือในการพยากรณ์ความรุนแรงของโรคโดยประเมินจากความยาวหรือพื้นที่ของพยาธิสภาพที่เกิดในเนื้อไขสันหลัง อย่างไรก็ตามสัตว์ป่วยต้องวางยาสลบนานกว่าและมีค่าใช้จ่ายมากกว่า CT Scan
การแบ่งชนิดหมอนรองกระดูกในปัจจุบัน
ในปี ค.ศ. 2020 Joe Fenn และ Natasha ร่วมกับ Canine Spinal Cord Injury Consortium (CANSORT-SCI) ได้แบ่งชนิดของโรคหมอนรองกระดูกโดยพิจารณาจากลักษณะการเคลื่อนของหมอนรองกระดูก(IVD Herniation) พยาธิสภาพความเสื่อมของหมอนรองกระดูกรอยโรคในเนื้อไขสันหลังและภาพวินิจฉัยทางรังสีวิทยา ซึ่งแบ่งได้ดังนี้
กลุ่มหมอนรองกระดูกเสื่อม (IVD degenerative)
1. Hansen Type I/Acute IVD extrusion
2. Hansen Type II/Chronic IVD protrusion
3. Acute IVD extrusion (Hansen Type I) with extensive epidural hemorrhage หมอนรองกระดูกแตกชนิดนี้ เกิดจาก NP แตกทะลุเข้าไปในโพรงไขสันหลังและทำให้เกิดการฉีกขาดของหลอดเลือด vertebral internal plexus ส่งผลทำให้เกิดเลือดออกในเนื้อไขสันหลังแบบ multi-level สัตว์ป่วยจะแสดงอาการอัมพาตเฉียบพลัน เจ็บปวดรุนแรงและมีโอกาสพัฒนาการลุกลามของการอักเสบไขสันหลัง (progressive myelomalacia; PMM) หรือ “ascending-descending myelomalacia” ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้สัตว์ป่วยเสียชีวิตได้จากระบบประสาทการหายใจล้มเหลว โดยภาพ Sagittal T2-weight MRI จะแสดงลักษณะคล้ายรูปหนอน “a worm extending” วางตัวตามแนวไขสันหลัง
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของบทความเท่านั้น อ่านบทความฉบับเต็มพร้อมหัวข้อเรื่องการรักษาและภาพประกอบได้ที่ : https://readvpn.com/article/detail/2348
บทความโดย : สพ.ญ.กนกวรรณ เกิดวุฒิ
สำหรับคุณหมอสัตวแพทย์ที่ยังไม่ได้เป็นสมาชิก
ตอนนี้ทาง VPN มีโปรโมชั่นน่าสนใจอยู่นะ
💙 อ่านออนไลน์ จ่ายถูกกว่า -
สำหรับสัตวแพทย์ท่านที่สมัครสมาชิกแบบอ่านออนไลน์ (ไม่รับหนังสือ) จ่ายเพียง 1,500 บาท/ปี เท่านั้น และยังสามารถทำ CE online ในเว็ปไซต์ได้ตามปกติ
💙 อ่านจากเล่ม เน้นสะสม -
สำหรับท่านที่สมัคร/ต่ออายุสมาชิกแบบรับหนังสือ (สามารถใช้งานเว็ปไซต์และทำ CE online ได้ด้วย)
📍 ได้ทำ CE online มากกว่า 40 คะแนน/ปี
📍 ดาวโหลด E-book ไปอ่านได้
📍 ใช้งานเว็ปไซต์ได้เต็มรูปแบบ
📍 E-learning online course
ดูรายละเอียดแพคเกจ
และสมัครออนไลน์ด้วยตัวเองได้ที่ https://www.readvpn.com/register
หรือสอบถามเพิ่มเติม
add Line :

เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมา เวลา 8.30 - 16.15 น. ณ โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท บริษัท เวอร์แบค (ประเทศไท...
07/03/2025

เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมา เวลา 8.30 - 16.15 น. ณ โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท บริษัท เวอร์แบค (ประเทศไทย) จำกัด ได้จัดงานสัมมนาภายใต้ชื่อ Virbac - Cat Symposium ในธีม “Advancing Feline Health: Tackling Key Challenges” โดยเน้นการเจาะลึก และอัพเดตแนวทางการดูแลสุขภาพแมวอย่างครบวงจร โดยได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้มากความสามารถหลากหลายท่าน บรรยากาศเต็มไปด้วยการเรียนรู้ และความสนุกสนานจากการทำกิจกรรมที่ทาง Virbac เตรียมมาให้คุณหมอผู้เข้าร่วมงานได้ร่วมกิจรรมตลอดทั้งวัน
งานสัมมนาในครั้งนี้เป็นการบรรยายองค์ความรู้ด้านการจัดการโรค และการดูแลสุขภาพแมวหลากหลายด้านที่บอกได้เลยว่าทุกหัวข้อนี้มีความเกี่ยวเนื่องกัน ไม่ว่าจะเป็นการจัดการโรคผิวหนัง การเข้าใจด้านพฤติกรรมในแมว การจัดการภาวะติดเชื้อไวรัสในแมว พร้อมทั้งแนวทางการทำวัคซีนซึ่งได้รับการอัปเดตล่าสุดในช่วงปีที่ผ่านมาหัวข้อการบรรยายตลอดทั้งงานประกอบไปด้วย
1. ช่วงที่ 1 : Understanding Parasites and Skin Diseases in Cats หัวข้อ How External Parasites Cause Skin Problems in Cats: Diagnosis, Preventive, and the Treatment Options บรรยายโดย รศ.สพ.ญ.ดร. มีนา สาริกะภูติ
2. ช่วงที่ 2 : Feline Allergic Skin Syndrome (FASS) หัวข้อ Diagnosis and Management of FASS: A Practical Approach for Veterinarians บรรยายโดย ผศ.สพ.ญ. มธุรวันต์ ทัฬหิกรณ์
3. ช่วงที่ 3 : Demystified Feline Otitis Externa หัวข้อ Clinical Insights, Causes, and Effective Management บรรยายโดย อ.น.สพ. ชัยยศ ธารรัตนะ
4. Panel Discussion หัวข้อ Integrating Feline Dermatological Disease Management in Practice: From Parasites to Allergies and Beyond ร่วมเสวนาโดย รศ.สพ.ญ.ดร. มีนา สาริกะภูติ ผศ.สพ.ญ. มธุรวันต์ ทัฬหิกรณ์ และ อ.น.สพ. ชัยยศ ธารรัตนะ
5. ช่วงที่ 4 : When a Cat Meow หัวข้อ Learn How to Identify Stress in Cats: Behavioral Signs, Causes, and Effective Solutions บรรยายโดย อ.ดร.น.สพ. ปรารมภ์ ศรีภวัศราคม
6. ช่วงที่ 5 : Essential Cat Health and Vaccination หัวข้อ Key Vaccines and Health Solutions for Cats: Prevention and Effective Management บรรยายโดย รศ.สพ.ญ.ดร. ทัศนีย์ เจริญทรง
7. Case Studies and Interactive Q&A หัวข้อ Real-World Challenges and Solutions in Feline Medicine ร่วมเสวนาโดย อ.ดร.น.สพ. ปรารมภ์ ศรีภวัศราคม และ รศ.สพ.ญ.ดร. ทัศนีย์ เจริญทรง
โดยได้รับเกียรติจาก น.สพ. ศิววัชร์ พานิชอนันต์กิจ รับหน้าที่เป็นพิธีกรในช่วงเช้า และ น.สพ. กระวี ชัยโภคา รับหน้าที่เป็นพิธีกรในช่วงบ่าย
Virbac ยังคงมุ่งมั่นในการจัดกิจกรรมดี ๆ เช่นนี้อย่างต่อเนื่อง สำหรับคุณหมอท่านใดที่พลาดกิจกรรมในครั้งนี้ สามารถติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ผ่านทางผู้แทนจาก Virbac และ Facebook Fanpage : Virbac

สรุปสิ่งสำคัญ และแนวทางการตรวจทางระบบประสาทสำหรับนำไปใช้ในคลินิกการรับมือหรือจัดการกับเคสระบบประสาทจึงดูจะไม่ใช่เรื่องไก...
07/03/2025

สรุปสิ่งสำคัญ และแนวทางการตรวจทางระบบประสาทสำหรับนำไปใช้ในคลินิก
การรับมือหรือจัดการกับเคสระบบประสาทจึงดูจะไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ดังนั้น เพื่อเป็นแนวทางในการจัดการกับผู้ป่วยในกลุ่มนี้ได้เบื้องต้น สิ่งสำคัญพื้นฐานที่จะขาดไม่ได้เลย นั่นคือ การตรวจระบบประสาทเบื้องต้น (basic neurological examination) นั่นเอง
การตรวจระบบประสาท เป็นการประเมินการตอบสนองของเซลล์ประสาทในแง่ของการสั่งการ (motor) และการรับรู้ (sensory) ผ่านทาง reflex ต่าง ๆ เพื่อประเมินว่ามีความผิดปกติภายในระบบประสาทหรือไม่ โดยพิจารณาทำการตรวจเมื่อสงสัยว่าสัตว์ป่วยตัวนั้น ๆ มีอาการที่เข้าข่ายว่าน่าจะมีความผิดปกติของระบบประสาท
จุดประสงค์สำคัญของการตรวจและประเมินทางระบบประสาท คือ
1. ยืนยันว่าอาการที่สงสัยเป็นอาการของระบบประสาท
2. ระบุตำแหน่งของรอยโรค/ความผิดปกติภายในระบบประสาท
3. ระบุถึงชนิดและการดำเนินไปของโรค จากอาการ
4. ระบุความรุนแรงของโรค
โดยใช้ข้อมูลที่ได้จากการตรวจร่างกาย, ตรวจระบบประสาท ประกอบกับการซักประวัติ และ signalment มาใช้วางแผนในการเลือกเครื่องมือวินิจฉัยและนำไปสู่การวางแผนการรักษาต่อไป
การเตรียมความพร้อมก่อนที่จะเริ่มต้นทำการตรวจระบบประสาท เพื่อให้สามารถทำการตรวจได้อย่างราบรื่นและได้ข้อมูลหรืออาการผิดปกติจากตัวสัตว์ให้ได้มากที่สุด ดังนี้
- ผู้ตรวจ : ควรวางแผนลำดับการตรวจเอาไว้ล่วงหน้า เพื่อให้ทำการตรวจได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ ใช้เวลาไม่นานเกินไป โดยแนะนำให้ทำการตรวจให้เสร็จภายใน 10-15 นาที (นานกว่านี้สัตว์มักเริ่มเบื่อและไม่ให้ความร่วมมือ โดยเฉพาะแมว)
- อุปกรณ์ : อุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการตรวจระบบประสาท ได้แก่ ค้อนยาง, artery forceps, ไฟฉาย, cotton swab, อาหารเม็ด/เจลอาหาร/ขนมเลีย สำหรับทดสอบการเลียและการดมกลิ่น (ไม่แนะนำให้ใช้สารที่มีกลิ่นฉุนหรือสารเคมีบางประเภท เนื่องจากจะไปกระตุ้น trigeminal nerve แทน)
- สถานที่ : พื้นที่เหมาะสมกับการตรวจระบบประสาท ควรเป็นดังนี้
· มีความกว้างเพียงพอให้สัตว์ได้เดินหรือแสดงพฤติกรรมอย่างอิสระ
· มีความสงบ ไม่เสียงดังหรือวุ่นวายมากเกินไป เพื่อลดความเครียดต่อตัวสัตว์ ซึงอาจมีผลต่อการตอบสนอง และการแสดงพฤติกรรม/อาการบางอย่างได้
· พื้นผิวมีความหลากหลาย เช่น ส่วนที่เป็นพื้นลื่น และพื้นหยาบ หรืออาจมี สิ่งกีดขวาง หรือ ขั้นบันได สำหรับทดสอบการเดิน การใช้ขา เพื่อให้เห็นอาการชัดเจน โดยเฉพาะในรายที่อาการไม่รุนแรงที่มักสังเกตอาการได้ยาก
จากที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่าอุปกรณ์สำหรับตรวจระบบประสาทเบื้องต้นนั้น เป็นอุปกรณ์พื้นฐานที่มีใช้กันทั่วไปตามโรงพยาบาลสัตว์หรือคลินิก และเป็นอุปกรณ์ที่ราคาไม่สูง ทำให้สัตวแพทย์ทุกท่านสามารถทำการตรวจระบบประสาทเบื้องต้นไม่ได้ยากนัก
การตรวจระบบประสาทแบ่งอย่างง่ายๆ เป็น 2 ส่วนหลักๆ ได้แก่
1. Hands-off: เป็นการตรวจในลักษณะการสังเกต(observation) เพื่อประเมินลักษณะอาการต่อไปนี้
1.1 สภาวะการรับรู้และการตอบสนองกับสิ่งแวดล้อม (mental status and level of consciousness): ประเมินการหลับตื่น/ความรู้สึกตัว
1.2 ลักษณะท่าทาง (posture)/การเดิน (gait): ทั้งตอนอยู่นิ่งและเคลื่อนไหว ความสมมาตรของร่างกายทั้งสองข้างว่ามีลักษณะที่ผิดไปจากภาวะปกติหรือไม่
1.3 การเคลื่อนไหวร่างกายที่ผิดปกติ (movement disorder): การขยับหรือเคลื่อนไหวของร่างกายที่ผิดปกติ ที่อยู่นอกเหนือการควบคุม เช่น การสั่น (tremors), การกระตุกของกล้ามเนื้อแบบ myoclonus หรืออาการชัก เป็นต้น
โดยขั้นตอนนี้สามารถทำได้โดยปล่อยตัวสัตว์ให้เดินหรือเคลื่อนไหวอย่างอิสระภายในพื้นที่ตรวจ โดยแนะนำให้ทำในช่วงแรกของการตรวจ โดยอาจใช้เวลาในช่วงนี้ซักประวัติจากเจ้าของไปด้วย ก่อนที่เข้าสู่การตรวจในขั้นตอนถัดไป
2. Hands-on: ทำการทดสอบกับตัวสัตว์ เพื่อประเมินการทำงานและการตอบสนอง (reflex) ต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
2.1 การตอบสนองของเส้นประสาทคู่หน้า (cranial nerves): ตรวจประเมินการทำงานของเส้นประสาทที่ออกมาจากสมอง โดยเส้นประสาทแต่ละเส้นมีจุดกำเนิดจากสมองคนละตำแหน่งกัน (ตามรูป) การตรวจพบความผิดปกติของเส้นประสาทคู่หน้าเส้นใด ก็สามารถอนุมานได้ว่าสมองบริเวณที่เป็นจุดกำเนิดของเส้นประสาทนั้นมีความผิดปกตินั่นเอง
สำหรับการตรวจเส้นประสาทคู่หน้านี้อาจมีความสับสนสักเล็กน้อยในแง่ ซีกซ้าย/ซีกขวา มีหลักการทำความเข้าใจง่ายๆนั่นคือ เส้นประสาทที่ออกมาจาก cerebral cortex (CN I and II) จะควบคุมการตอบสนองฝั่งตรงข้าม ส่วนเส้นประสาทถัดจากนั้นเป็นต้นมา (CN III เป็นต้นไป) จะควบคุมการตอบสนองฝั่งเดียวกัน
2.2 ความสามารถในการรักษาท่าทาง (postural reactions): เป็นการทดสอบความสามารถและความแม่นยำในการควบคุมรักษาตำแหน่งของร่างกายโดยเฉพาะส่วนขา เมื่อมีการเปลี่ยนตำแหน่งของร่างกายและจุดศูนย์ถ่วง (center of gravity)
โดยจุดประสงค์ คือ ตรวจหาความบกพร่องของระบบประสาท ที่ไม่สามารถตรวจพบได้จากกประเมินท่าทางการเดิน (gait evaluation) ผ่านการทดสอบต่าง ๆ ดังนี้
🔸️ Proprioceptive positioning reaction (paw replacement reaction): ทำได้ทั้งสี่ขา
🔸️Hopping reaction: ทำได้ทั้งสี่ขา
🔸️Wheel barrowing reaction: ใช้ทดสอบสองขาหน้า
🔸️Extensor postural trust: ใช้ทดสอบสองขาหลัง
🔸️Hemi-walking: ทดสอบซีกใดซีกหนึ่งของร่างกาย (ทำได้ทั้งสองฝั่ง)
🔸️Tactile placing response: ทำได้ทั้งสี่ขา
การทดสอบหลัก ๆ ที่ควรทำ ได้แก่ proprioception และ hopping reaction ส่วนการทดสอบอื่น ๆ อาจพิจารณาทำเพิ่มเติม หากสองการทดสอบแรกยังไม่สามารถสรุปได้หรือทำไม่ได้
2.3 การตอบสนองของไขสันหลัง (spinal reflexes) :เป็นการทดสอบเพื่อระบุตำแหน่งผิดปกติ(localized)ของไขสันหลังหรือเส้นประสาท โดยยึดหลักการที่ว่าไขสันหลังแต่ละส่วน (segment) ควบคุม reflex คนละชนิดกันซึ่ง spinal reflex ที่สำคัญ มีดังนี้
🔸️ Flexor (withdrawal) reflex: ประเมินการตอบสนองต่อความเจ็บปวดที่เข้ามากระตุ้นที่นิ้วเท้า/เล็บโดยดูจากความสามารถในการหดเท้ากลับเพื่อหนีความเจ็บปวด (สัตว์อาจรู้สึกหรือไม่รู้สึกเจ็บก็ได้) ต้องแยกกับ deep pain perception, สามารถตรวจได้ทั้งขาหน้าและขาหลัง
🔸️Patellar reflex: ประเมินการหดตัวของกล้ามเนื้อ quadriceps femoris (ทำให้เท้าเหยียดเด้งตัว) เมื่อมีแรงกระทำไปที่ patellar tendon
*สำหรับ patellar reflex มีข้อควรระวัง การให้ผลลบลวง (false negative) ในสัตว์อายุเยอะ หรือสัตว์ป่วยด้วยโรคข้อเข่า
2.4 การคลำตรวจ (palpation): เพื่อประเมินตำแหน่งเจ็บปวด/ไวต่อความรู้สึก ทั้งในรูปแบบของการรู้สึกน้อยกว่าปกติ(hypoesthesia) หรือเจ็บปวดมากกว่าปกติ (hyperesthesia)
นอกไปจากนั้นการคลำตรวจยังสามารถใช้ประเมินความแข็งแรงและลักษณะของกล้ามเนื้อที่ผิดปกติที่เป็นผลมาจากระบบประสาทได้อีกด้วย เช่น การหดเกร็งของกล้ามเนื้อในตำแหน่งที่มีความเจ็บปวด หรือลักษณะของกล้ามเนื้อที่ฝ่อลีบ(muscle atrophy) จากการไม่ได้ใช้งาน หรือขาดสัญญาณประสาทมาเลี้ยง เป็นต้น
2.5 ความสามารถในการควบคุมการขับถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ (urinary/fecal incontinence): ประเมินได้จากการสังเกต/ซักประวัติเกี่ยวกับการขับถ่าย, ตรวจ perineal reflex, การควบคุมหาง รวมไปถึงการควบคุมกระเพาะปัสสาวะ โดยการคลำกระเพาะปัสสาวะและการพบภาวะฉี่ไหลกะปริบกะปรอย เมื่อทำการยกตัวสัตว์ เป็นต้น
2.6 การรับรู้ความเจ็บปวด (deep pain perception/nociception) : เมื่อทำการทดสอบสัตว์จะตอบสนองต่อความเจ็บปวด ในรูปแบบของการหดขาหนี หรือมีพฤติกรรมร้องเจ็บ ขู่ เป็นต้น ต้องระวังว่าอาจสับสนกับ withdrawal reflex/flexor reflex ซึ่งเป็นการตอบสนองระดับไขสันหลังเท่านั้น ควรตรวจประเมินในทุกนิ้วของแต่ละขาในรายที่มีปัญหาอัมพาต ภาวะสูญเสียการรับรู้ความเจ็บปวดบ่งบอกถึงความเสียหายของไขสันหลังในระดับรุนแรง การทดสอบนี้ถือเป็นตัวบ่งชี้สำคัญสำหรับใช้พยากรณ์โรคในเคสที่เป็นโรคของไขสันหลัง
---
แนะนำให้ทำเป็นลำดับถัดมาหลังจากทำการตรวจในส่วนของ hands-off เสร็จเรียบร้อยแล้ว และลำดับการทำการทดสอบจากสิ่งที่ทำให้เกิดความเครียดหรือความรำคาญต่อตัวสัตว์น้อยที่สุดเป็นลำดับแรก โดยปกติจะแนะให้ทำการทดสอบกลุ่มที่อาจทำให้เกิดความเจ็บปวด เช่น hyperesthesia และ deep pain perception เป็นลำดับสุดท้าย เนื่องจากเมื่อมีความเจ็บปวดเกิดขึ้นแล้ว อาจส่งผลรบกวนต่อการแสดงพฤติกรรมหรือการตอบสนองต่อการทดสอบทางระบบประสาทอื่น ๆ หรืออาจทำให้สัตว์ไม่ให้ความร่วมมือในการตรวจ ทำให้ไม่สามารถทำการตรวจระบบประสาทได้ครบถ้วน
นี่เป็นเพียงบางส่วนของบทความเท่านั้น อ่านเนื้อหาทั้งหมด และตัวอย่างแบบฟอร์มการตรวจทางระบบประสาทได้ที่ : https://readvpn.com/article/detail/337
บทความโดย ; สพ.ญ.อัญมณี ช่วยบำรุง
สำหรับคุณหมอสัตวแพทย์ที่ยังไม่ได้เป็นสมาชิก
ตอนนี้ทาง VPN มีโปรโมชั่นน่าสนใจอยู่นะ
💙 อ่านออนไลน์ จ่ายถูกกว่า -
สำหรับสัตวแพทย์ท่านที่สมัครสมาชิกแบบอ่านออนไลน์ (ไม่รับหนังสือ) จ่ายเพียง 1,500 บาท/ปี เท่านั้น และยังสามารถทำ CE online ในเว็ปไซต์ได้ตามปกติ
💙 อ่านจากเล่ม เน้นสะสม -
สำหรับท่านที่สมัคร/ต่ออายุสมาชิกแบบรับหนังสือ (สามารถใช้งานเว็ปไซต์และทำ CE online ได้ด้วย)
📍 ได้ทำ CE online มากกว่า 40 คะแนน/ปี
📍 ดาวโหลด E-book ไปอ่านได้
📍 ใช้งานเว็ปไซต์ได้เต็มรูปแบบ
📍 E-learning online course
ดูรายละเอียดแพคเกจ
และสมัครออนไลน์ด้วยตัวเองได้ที่ https://www.readvpn.com/register
หรือสอบถามเพิ่มเติม
add Line :

07/03/2025

📣 เริ่มแล้ว “SmartHeart Gold ชวนคุยกับคุณหมอ”
ในหัวข้อ “การจัดการด้านโภชนาการในสุนัขและแมว”
👉โดยคุณหมอฮูโต๋ สัตวแพทย์ประจำ คลินิกหัวใจ ระบบขับถ่ายปัสสาวะ และโรคเบาหวาน โรงพยาบาลสัตว์กรุงเทพฯ คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
และหัวข้อ "ไขข้อสงสัยกับอาหารประกอบการรักษาโรค"
👉โดยคุณหมอกล้า ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารประกอบการรักษาโรค บริษัท เพอร์เฟค คอมพาเนียน กรุ๊ป จำกัด
👉นอกจากนี้เรายังได้น้องคุมะ และน้องรถถัง Real user ผู้น่ารักมาร่วมแชร์ประสบการณ์กับพวกเราด้วยค่ะ
🤎 หากเพื่อน ๆ มีคำถามสงสัย สามารถทักมาพูดคุย
ใต้คอมเมนต์นี้ได้ หรือ จะเป็นช่วง Live ก็ได้เช่นกันค่ะ

เคสโรคระบบประสาทแล้วไง...ไม่มีอะไรต้องกลัวถ้าพูดถึงยาขมของสัตวแพทย์หลายท่านคงหนีไม่พ้นเรื่องระบบประสาทอย่างแน่นอน ในคราว...
06/03/2025

เคสโรคระบบประสาทแล้วไง...ไม่มีอะไรต้องกลัว
ถ้าพูดถึงยาขมของสัตวแพทย์หลายท่านคงหนีไม่พ้นเรื่องระบบประสาทอย่างแน่นอน ในคราวนี้ VPN ในฉบับที่ 270 ประจำเดือนมีนาคมนี้ จะขอพาสัตวแพทย์ทุกท่านไปอัปเดตความรู้เกี่ยวกับโรคประสาทที่พบบ่อยในคลินิกและโรคประสาทอัปเดตใหม่ๆ พร้อมด้วยแนวทางจัดการที่ควรทราบ โดยไฮไลท์ในเล่มมีดังนี้เลย
1. โรคหมอนรองกระดูกเสื่อมในสุนัข : มารู้จักโรคนี้กันแบบครบทุกแง่มุม ทั้งสาเหตุการเกิด การวินิจฉัย การจัดการ และการรักษา โดย สพ.ญ.กนกวรรณ เกิดวุฒิ
2. แนวทางการจัดการสุนัขและแมวที่ได้รับอาการบาดเจ็บที่ศีรษะ : เมื่อสุนัขและแมวมาด้วยอาการบาดเจ็บทีศีรษะควรทำอย่างไรดี มีวิธีเช็กเกี่ยวกับระบบประสาทอย่างไร และต้องใช้ยาอะไรบ้าง โดย น.สพ.วีรภัทร ชวาลวุฒิ
3. ทำความรู้จักกับ Chiari-like Malformation (CM) และ Syringomyelia (CMSM) : มารู้จักกับโรคที่พบบ่อยในสุนัขสายพันธุ์ Cavalier King Charles Spaniels และแนวทางการผ่าตัดและจัดการที่ควรทราบ โดย สพ.ญ.แทนหทัย กระจ่างแจ้ง
4. เนื้องอกสมองในสุนัข (Intracranial Tumors in Dogs) : เนื้องอกในสมองสุนัขมีกี่แบบ แนวทางการวินิจฉัย และการรักษาในปัจจุบันนี้สามารถทำอะไรได้บ้าง โดย สพ.ญ.อัญมณี ช่วยบำรุง
5. แนวทางการใช้ Pregabalin และ Gabapentin ในทางสัตวแพทย์ : เจาะลึกการใช้ยาสองตัวนี้ในสุนัขและแมวว่ามีกลกไกการออกฤทธิ์อย่างไร ขนาดการใช้ และข้อควรระวัง โดย รศ. น.สพ. ดร.เจนภพ สว่างเมฆ
6. Neuronal Injury : Pathophysiology : มารู้จักความเสียหายของเซลล์ประสาทว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร รูปแบบการเสียหายที่พบได้บ่อยและวิธีการตรวจ โดย น.สพ.ปราชญ์ หมายหาทรัพย์
7. โรคทางระบบประสาทในงู : เมื่องูก็เป็นโรคประสาทได้ มารู้จักโรคทางระบบประสาทในงูว่ามีหน้าตาอย่างไรและเกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง โดย นสพ.เกษตร สุเตชะ
อ่าน VPN 270 แบบ E-Book ได้ที่นี่ : https://readvpn.com/magazine
สำหรับคุณหมอสัตวแพทย์ที่ยังไม่ได้เป็นสมาชิก
ตอนนี้ทาง VPN มีโปรโมชั่นน่าสนใจอยู่นะ
💙 อ่านออนไลน์ จ่ายถูกกว่า -
สำหรับสัตวแพทย์ท่านที่สมัครสมาชิกแบบอ่านออนไลน์ (ไม่รับหนังสือ) จ่ายเพียง 1,500 บาท/ปี เท่านั้น และยังสามารถทำ CE online ในเว็ปไซต์ได้ตามปกติ
💙 อ่านจากเล่ม เน้นสะสม -
สำหรับท่านที่สมัคร/ต่ออายุสมาชิกแบบรับหนังสือ (สามารถใช้งานเว็ปไซต์และทำ CE online ได้ด้วย)
📍 ได้ทำ CE online มากกว่า 40 คะแนน/ปี
📍 ดาวโหลด E-book ไปอ่านได้
📍 ใช้งานเว็ปไซต์ได้เต็มรูปแบบ
📍 E-learning online course
ดูรายละเอียดแพคเกจ
และสมัครออนไลน์ด้วยตัวเองได้ที่ https://www.readvpn.com/register
หรือสอบถามเพิ่มเติม
add Line :

เทคนิคการทำ TFAST ในกรณีสัตว์มีภาวะ trauma (thoracic focused assessment with sonography for trauma)- DH (diaphragmatic-h...
04/03/2025

เทคนิคการทำ TFAST ในกรณีสัตว์มีภาวะ trauma (thoracic focused assessment with sonography for trauma)
- DH (diaphragmatic-hepatic view) วางหัว probe ที่ตำแหน่งลิ้นปี่ (xiphoid) ในท่า right lateral recumbency
- LCTS วางหัว probe ที่ตำแหน่ง left intercostal space ในท่า right lateral recumbency
- LPCS วางหัว probe ที่ตำแหน่งช่องอกซ้ายที่จับพบ heartbeat ในท่า right lateral recumbency
- RCTS วางหัว probe ที่ตำแหน่ง right intercostal space ในท่า left lateral recumbency
- RPCS วางหัว probe ที่ตำแหน่งช่องอกขวาที่จับพบ heartbeat ในท่า left lateral recumbency
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของบทความเท่านั้น อ่านบทความฉบับเต็มพร้อมเคสตัวอย่างได้ที่ : https://readvpn.com/article/detail/2336
บทความโดย : น.สพ.พิสุทธิ์ เพ็ญสิทธิพร
สำหรับคุณหมอสัตวแพทย์ที่ยังไม่ได้เป็นสมาชิก
ตอนนี้ทาง VPN มีโปรโมชั่นน่าสนใจอยู่นะ
💙 อ่านออนไลน์ จ่ายถูกกว่า -
สำหรับสัตวแพทย์ท่านที่สมัครสมาชิกแบบอ่านออนไลน์ (ไม่รับหนังสือ) จ่ายเพียง 1,500 บาท/ปี เท่านั้น และยังสามารถทำ CE online ในเว็ปไซต์ได้ตามปกติ
💙 อ่านจากเล่ม เน้นสะสม -
สำหรับท่านที่สมัคร/ต่ออายุสมาชิกแบบรับหนังสือ (สามารถใช้งานเว็ปไซต์และทำ CE online ได้ด้วย)
📍 ได้ทำ CE online มากกว่า 40 คะแนน/ปี
📍 ดาวโหลด E-book ไปอ่านได้
📍 ใช้งานเว็ปไซต์ได้เต็มรูปแบบ
📍 E-learning online course
ดูรายละเอียดแพคเกจ
และสมัครออนไลน์ด้วยตัวเองได้ที่ https://www.readvpn.com/register
หรือสอบถามเพิ่มเติม
add Line :

คอลัมน์ Aquatic Corner ในฉบับนี้ เรายังคงอยู่ด้วยกันที่ Numazu Deep Sea Aquarium and Coelacanth Museum จังหวัด Shizuoka ...
03/03/2025

คอลัมน์ Aquatic Corner ในฉบับนี้ เรายังคงอยู่ด้วยกันที่ Numazu Deep Sea Aquarium and Coelacanth Museum จังหวัด Shizuoka ประเทศญี่ปุ่น พร้อมพาคุณหมอผู้อ่านดื่มด่ำไปกับธรรมชาติของโลกใต้ทะเลกันต่อ จากในฉบับที่แล้ว เราได้ไปท่องเที่ยวรับบรรยากาศพร้อมกับองค์ความรู้ที่เปรียบเสมือน “หน้าบ้าน” ของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้แล้วนั้น ในครั้งนี้ เราจะมาเจาะลึกกันถึงเรื่องราวการดำเนินงานของพิพิธภัณฑ์ ทั้งการจับสัตว์ การดูแล การขนส่ง รวมไปถึงบทบาทการอนุรักษ์สัตว์ใต้ทะเลลึก ที่เปรียบเสมือน “งานเบื้องหลัง” ของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้กัน
การจับสัตว์ทะเลน้ำลึก
วิธีการจับสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลลึกประกอบด้วย 3 วิธีด้วยกัน ได้แก่ วิธีแรกคือ การจับด้วยอวนลากพื้นทะเล (bottom trawl fishing) โดยการลากอวนขนาดใหญ่ตามพื้นทะเลเพื่อจับสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลลึกหลายชนิดพร้อมกัน มักใช้เพื่อเก็บสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิดในครั้งเดียว โดยเป็นวิธีที่นิยมใช้มากที่สุด วิธีที่สองคือ การตกปลาด้วยอวนยาว (longline fishing) ซึ่งใช้เส้นสายยาวที่มีเบ็ดหลายตัวติดอยู่ ผูกกับเชือกและทิ้งไว้ในน้ำ เพื่อให้สิ่งมีชีวิตใต้ทะเลลึกถูกล่อลวงด้วยเหยื่อที่เบ็ด และวิธีสุดท้ายคือการจับด้วยตะกร้า (basket fishing) โดยการจมตะกร้าที่ใส่เหยื่อลงไปในทะเลลึก ตะกร้าจะถูกทิ้งไว้ใต้ทะเลหลายวันเพื่อดึงดูดสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลลึก จากนั้นจึงดึงขึ้นมาเพื่อเก็บสิ่งมีชีวิตที่จับได้
เมื่อฤดูกาลจับปลาด้วยอวนลากพื้นทะเลในอ่าวซุรุกะเริ่มต้นขึ้นในช่วงฤดูหนาว (ประมาณเดือนตุลาคมถึงพฤษภาคม) ทีมงานจะทำการจับสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลลึกหลายครั้งต่อเดือน โดยเริ่มออกจากท่าเรือตั้งแต่เช้ามืดเวลา 4:30 น. หลังจากนั้นเรือใช้เวลาประมาณ 1.5 ชั่วโมงในการเดินทางไปยังบริเวณที่จะทำการลากอวน ซึ่งจะถึงจุดหมายในเวลาประมาณ 6:00 น. เมื่อถึงจุดนั้น ทีมงานจะเริ่มทำการลากอวนจากพื้นทะเลเพื่อดึงสิ่งมีชีวิตที่หลากหลายจากทะเลลึกขึ้นมา กระบวนการนี้จะทำซ้ำหลายครั้งในฤดูกาลจับปลา เพื่อให้ได้ตัวอย่างสิ่งมีชีวิตจากทะเลลึกที่หลากหลายและเพียงพอต่อการศึกษาวิจัย และเมื่อสิ้นสุดการทำงานในแต่ละวัน เรือจะกลับเข้าฝั่งในช่วงเวลา 14:00-17:00 น. โดยจะนำสิ่งมีชีวิตที่จับได้กลับมาเพื่อทำการจัดแสดงและศึกษาต่อไป
การดูแลและขนส่งสัตว์ทะเลน้ำลึก
เมื่อมีการจับสัตว์ทะเลน้ำลึกและทำการแยกประเภทสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดบนเรือ สัตว์แต่ละชนิดจะถูกบรรจุลงในถุงพลาสติกที่มีน้ำทะเลและออกซิเจนที่เพียงพอเพื่อให้สามารถหายใจและยังคงมีชีวิตต่อไปได้ หลังจากนั้นสัตว์จะถูกย้ายไปยังภาชนะที่ทำการควบคุมอุณหภูมิในช่วง 10-12°C ซึ่งเป็นช่วงอุณหภูมิที่ใกล้เคียงกับสภาพแวดล้อมที่สัตว์เหล่านี้ชอบอาศัยอยู่ในทะเลลึก การจัดการอย่างระมัดระวังนี้มีส่วนช่วยให้สัตว์สามารถทนต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะลดความเครียดที่เกิดขึ้นจากกระบวนการจับและการขนส่ง
นอกจากนี้สิ่งที่ยังต้องคำนึงอีกอย่างคือการหลีกเลี่ยงแสงแดดด้วย เนื่องจากสัตว์ทะเลน้ำลึกเหล่านี้ไม่เคยสัมผัสกับแสงแดดโดยตรงมาก่อน การบรรจุสัตว์ในภาชนะที่มีการป้องกันแสงอย่างรวดเร็วจะช่วยลดความเครียดจากแสงที่อาจทำให้สัตว์ตกใจหรือวิตกกังวล ทำให้สัตว์สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการรักษาสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการจัดแสดงและการเพาะพันธุ์ในสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำในระยะยาว โดยการดูแลและจัดการอย่างถูกต้อง จะช่วยให้สัตว์เหล่านี้จะสามารถมีชีวิตอยู่ได้พร้อมกับมีสุขภาพแข็งแรงและอาศัยอยู่ได้อย่างเหมาะสมในสถานที่จัดแสดงหรือในการเพาะพันธุ์
การเลี้ยงดูสัตว์ทะเลน้ำลึกในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ
สิ่งมีชีวิตในทะเลลึกที่นำมาที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำต้องปรับตัวจากการอยู่ในทะเลลึกไปยังสภาพแวดล้อมพิเศษของพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำบนบก ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างมาก ดังนั้นการลดความเครียดของสัตว์จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุด ในขั้นตอนแรกหลังจากจับสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลลึกมาใหม่ จะถูกนำไปพักฟื้นในตู้พักฟื้นเพื่อให้สัตว์ได้ปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่ ดังนั้นพื้นที่ด้านหลังของพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำจึงเป็นตู้พักฟื้นและมีตู้ปลาจำนวนมากกว่าที่ผู้ชมทั่วไปเห็น เมื่อสิ่งมีชีวิตเริ่มปรับตัวได้ เริ่มกินอาหาร และมีสุขภาพแข็งแรงแล้ว จึงทำการย้ายไปยังตู้จัดแสดงด้านนอก หากมีสัญญาณของการเจ็บป่วยจำเป็นต้องมีการรักษา โดยอาจใช้วิธีการแช่ยาในน้ำที่ใช้เลี้ยง หรือการผสมยาในอาหารให้สัตว์กิน
สภาพแวดล้อมและคุณภาพน้ำ
การจำลองสภาพแวดล้อมและคุณภาพน้ำสำหรับสัตว์ทะเลน้ำลึกเป็นกระบวนการที่ท้าทาย เนื่องจากสัตว์เหล่านี้อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความเฉพาะเจาะจงและซับซ้อน ในการเลี้ยงดูสัตว์ทะเลน้ำลึก ผู้ดูแลต้องจำลองสภาพแวดล้อมที่ใกล้เคียงกับโลกใต้ทะเลลึกอย่างละเอียด เพื่อให้สัตว์เหล่านี้สามารถเจริญเติบโตและอยู่รอดได้อย่างมีสุขภาพดี
หนึ่งในปัจจัยที่สำคัญคือการควบคุมอุณหภูมิของน้ำ ซึ่งต้องอยู่ในช่วงประมาณ 3-15 องศาเซลเซียส เนื่องจากสัตว์ทะเลน้ำลึกมักจะปรับตัวเข้ากับอุณหภูมิที่เย็นและเสถียร การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของน้ำที่รวดเร็วหรือมากเกินไปสามารถทำให้เกิดความเครียดหรือเสียชีวิตได้
นอกจากการควบคุมอุณหภูมิแล้ว คุณภาพน้ำก็มีความสำคัญมาก สภาพน้ำต้องมีความเค็มและค่า pH ที่เหมาะสม ซึ่งสามารถปรับได้ตามหลักพื้นฐานของการเลี้ยงสัตว์น้ำทั่วไป โดยต้องให้มีระดับออกซิเจนที่เพียงพอและการควบคุมของเสียในน้ำโดยเฉพาะค่าแอมโมเนียและไนไตรท์ให้อยู่ในระดับที่ต่ำเพื่อเป็นการรักษาคุณภาพน้ำให้เหมาะสม
การจำลองสภาพแวดล้อมยังรวมถึงการจัดเตรียมสิ่งแวดล้อมให้ใกล้เคียงกับโลกใต้ทะเลลึก เช่น การใส่ทราย โคลน หรือก้อนหินที่สัตว์เหล่านี้มักจะพบในธรรมชาติ เพื่อให้สัตว์สามารถหาที่หลบซ่อนหรือค้นหาอาหารได้ตามปกติ การสร้างสภาพแวดล้อมที่สมจริงนี้จะช่วยให้สัตว์ทะเลน้ำลึกสามารถแสดงพฤติกรรมตามธรรมชาติและลดความเครียดได้มากขึ้น
แสงและสี กับสัตว์ทะเลน้ำลึก
แสงอาทิตย์ประกอบไปด้วยแสงสีต่าง ๆ ที่มีหลากหลายเฉดสี โดยแต่ละสีจะมีพลังงานและความยาวคลื่นที่แตกต่างกัน เมื่อรังสีเหล่านี้รวมกันจะทำให้เราเห็นเป็นสิ่งที่เรียกว่า "แสงสีขาว" หรือแสงแดด เมื่อแสงแดดเดินทางเข้าสู่น้ำ โมเลกุลในน้ำจะดูดซึมแสงสีแดงได้ดีที่สุด ส่งผลให้สีแดงค่อย ๆ จางหายไปตามความลึกของน้ำที่เพิ่มขึ้น
แสงและสีมีบทบาทสำคัญในการปรับตัวและการอยู่รอดของสัตว์ทะเลน้ำลึก โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่มืดมิดและมีแสงน้อยในระดับความลึกที่มากขึ้น เมื่อแสงแดดลงไปในน้ำ แสงจะถูกดูดซึมและกระจายออกไปตามความลึก โดยเฉพาะแสงสีแดงที่ถูกดูดซึมได้ดีในน้ำ ทำให้สีแดงจะค่อย ๆ จางหายไปตามความลึกที่เพิ่มขึ้น สัตว์ทะเลที่อาศัยอยู่ในทะเลลึกจึงมีการปรับตัวในเรื่องของสีเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและเพิ่มโอกาสในการหลบหลีกจากผู้ล่า
ในความมืดมิดของท้องทะเลลึก สัตว์หลายชนิดมีความโปร่งใส ซึ่งช่วยให้พวกมันกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมใต้ทะเลและซ่อนตัวจากผู้ล่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือบางชนิดมีสีแดงสด เช่น ปลา Japanese soldierfish หรือสัตว์ครัสเตเชียนที่มีเปลือกแข็งกลุ่มกุ้งและปู สีมีบทบาทสำคัญในการอยู่รอด โดยใช้กลไกการอำพรางที่ดีเยี่ยม สีแดงนี้จะกลายเป็นสีดำในที่มืด เนื่องจากแสงสีแดงไม่สามารถทะลุไปถึงระดับความลึกที่สูง สิ่งมีชีวิตเหล่านี้จึงปรากฏเป็นสีฟ้าแทนและกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมใต้น้ำ เช่น ก้อนหิน ทำให้สัตว์เหล่านี้กลมกลืนกับความมืดและยากต่อการตรวจจับจากผู้ล่า ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการเอาชีวิตรอดในสภาพแวดล้อมที่มืดและลึกลับนี้
สิ่งมีชีวิตในทะเลลึกที่จับมาใหม่มีความไวต่อแสงและเงาเป็นอย่างมาก ซึ่งสามารถทำให้สัตว์เหล่านี้เกิดความเครียดได้ง่าย ดังนั้นจำเป็นต้องมีการใช้แสงที่มีความเข้มข้นต่ำและสีที่ไม่กระตุ้นสัตว์ให้เกิดความเครียด การปรับแสงในสถานที่เลี้ยงจึงถูกทำให้มืดสลัวลงจนถึงขีดสุด โดยใช้แสงสีที่กระตุ้นน้อย เช่น สีแดงและสีน้ำเงิน และปิดด้านหน้าของตู้ปลาไว้ด้วยบอร์ดสีดำ เพื่อให้เกิดการรบกวนสัตว์ที่น้อยที่สุด การดูแลอย่างพิถีพิถันในการเลี้ยงสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลลึกในสภาพแวดล้อมของพิพิธภัณฑ์จะดำเนินการในตู้พักฟื้นก่อนจนสัตว์แข็งแรง แล้วจึงนำไปที่จุดแสดงในตู้จัดแสดง
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของบทความเท่านั้น อ่านบทความฉบับเต็มพร้อมภาพประกอบน่าตื่นตาตื่นใจได้ที่ : https://readvpn.com/article/detail/2329
บทความโดย : น.สพ. คมศิลป์ สหตระกูล - WAVMA Certified Aquatic Veterinarian (CertAqV)
สำหรับคุณหมอสัตวแพทย์ที่ยังไม่ได้เป็นสมาชิก
ตอนนี้ทาง VPN มีโปรโมชั่นน่าสนใจอยู่นะ
💙 อ่านออนไลน์ จ่ายถูกกว่า -
สำหรับสัตวแพทย์ท่านที่สมัครสมาชิกแบบอ่านออนไลน์ (ไม่รับหนังสือ) จ่ายเพียง 1,500 บาท/ปี เท่านั้น และยังสามารถทำ CE online ในเว็ปไซต์ได้ตามปกติ
💙 อ่านจากเล่ม เน้นสะสม -
สำหรับท่านที่สมัคร/ต่ออายุสมาชิกแบบรับหนังสือ (สามารถใช้งานเว็ปไซต์และทำ CE online ได้ด้วย)
📍 ได้ทำ CE online มากกว่า 40 คะแนน/ปี
📍 ดาวโหลด E-book ไปอ่านได้
📍 ใช้งานเว็ปไซต์ได้เต็มรูปแบบ
📍 E-learning online course
ดูรายละเอียดแพคเกจ
และสมัครออนไลน์ด้วยตัวเองได้ที่ https://www.readvpn.com/register
หรือสอบถามเพิ่มเติม
add Line :

ที่อยู่

68/932 Moo 8 Soi 28
Bangkok
11000

เวลาทำการ

จันทร์ 09:00 - 17:00
อังคาร 09:00 - 17:00
พุธ 09:00 - 17:00
พฤหัสบดี 09:00 - 17:00
ศุกร์ 09:00 - 17:00

เบอร์โทรศัพท์

+6629655020

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ VPN Magazineผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง VPN Magazine:

วิดีโอทั้งหมด

แชร์

ประเภท

Our Story

VPN (Veterinary Practitioners NEWS) นิตยสารรายเดือนสำหรับสัตวแพทย์ สามารถสมัครสมาชิกใหม่ได้ผ่านทาง https://www.readvpn.com/VPN/Subscription