
10/03/2025
โรคหมอนรองกระดูก (intervertebral disc disease; IVD) เป็นโรคทางระบบประสาทที่พบได้บ่อยในสุนัขและอาจจะพบได้บางครั้งในแมว โดยสาเหตุหลักมักจะเกิดจากความเสื่อมของหมอนรองกระดูก ซึ่งเกิดได้จากหลายปัจจัยเช่น สายพันธุ์ พันธุกรรม ความเสื่อมของโครงสร้างหมอนรองกระดูกตามอายุ หรืออาจจะโน้มนำจากการบาดเจ็บของกระดูกสันหลังจากอุบัติเหตุ โดยอาการของสัตว์เลี้ยงที่ป่วยด้วยโรคหมอนรองกระดูกนั้นจะพบได้ตั้งแต่อาการปวดไปจนถึงการสูญเสียความสามารถในการเดินและการขับถ่าย ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของสัตว์เลี้ยงและเจ้าของ ดังนั้นการมีความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคหมอนรองกระดูก จะนำมาซึ่งการตรวจวินิจฉัยและการรักษาที่มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้เพื่อเพิ่มโอกาสที่ดีในการฟื้นตัวของสัตว์ป่วย
กายวิภาคหมอนรองกระดูกสันหลัง
โครงสร้างหมอนรองกระดูกประกอบด้วยเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่มีองค์ประกอบและหน้าที่แตกต่างกัน โดยแบ่งออกเป็น 4 ส่วน ได้แก่ anulus fibrosus (AF) ที่อยู่บริเวณรอบนอกของหมอนรองกระดูก (outer fibrous layer) เนื้อเยื่อของชั้นนี้จะประกอบด้วย collagen type I, elastin fibers และ fibroblast-like cells ในขณะที่บริเวณตรงกลางของหมอนรองกระดูกจะเป็นส่วนของ nucleus pulposus (NP) มีลักษณะเป็น gel-like layer ซึ่งประกอบไปด้วย hydrated gelatinous matrix โดยมีส่วนประกอบหลักเป็น proteoglycan และ collagen type 2 โดย proteoglycan จะมีประจุไฟฟ้าเป็นลบ จึงมีคุณสมบัติเป็น strong osmotic gradient ดึงน้ำเข้ามาสะสมใน NP ส่วนบริเวณที่กั้นอยู่ระหว่าง AF และ NP คือส่วนของ transitional zone (TZ)
ถัดมาจะเป็นบริเวณที่ติดอยู่กับกระดูกสันหลังคือส่วนของ cartilaginous endplate (CE) โดยปฏิสัมพันธ์ของส่วนประกอบต่าง ๆ เหล่านี้ส่งผลทำให้หมอนรองกระดูกมีคุณสมบัติทนต่อแรงดึง มีความหยืดหยุ่นและความหนืดสูง ทำหน้าที่ในการรองรับแรงกระแทกที่เกิดจากการใช้งานกระดูกสันหลังเวลาที่สัตว์เคลื่อนไหว นอกจากนี้ยังมีโครงสร้างของ fibrous tissue ได้แก่ dorsal longitudinal ligament, ventral longitudinal ligament และ intercapital ligament ที่วางตัวอยู่รอบ ๆ หมอนรองกระดูก ซึ่งส่วนประกอบต่าง ๆ เหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของโครงสร้างกระดูกสันหลังมากขึ้น
ประวัติความเป็นมา
โรคหมอนรองกระดูกถูกค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1896 ในสุนัขสายพันธุ์ Dachshund โดย Dexler ซึ่งต่อมาในปี ค.ศ. 1949-1950 มีการค้นคว้าเพิ่มเติมโดย Hansen และ Olsson ซึ่งพบว่าพยาธิสภาพของความเสื่อมของหมอนรองกระดูกจะเกิดแตกต่างกันในแต่ละสายพันธุ์ จึงได้มีการแบ่งโรคหมอนรองกระดูกในสุนัขออกเป็น 2 ชนิดดังนี้
1. Hansen type I โรคหมอนรองกระดูกที่เกิดจาก chondroid metaplasia ส่งผลทำให้ chondrocyte-like cell ที่บริเวณ NP เกิดการสูญเสียน้ำและเกิดการสะสมของแคลเซียม ส่งผลทำให้คุณสมบัติความหยืดหยุ่นของหมองรองกระดูกลดลงและเกิดการแตกเฉียบพลันของ NP ทะลุผ่านชั้น AF ขึ้นไปกดทับไขสันหลังหรือที่เรียกว่า “Acute Disc Extrusion” โดยหมองรองกระดูกแบบนี้จะเกิดในสุนัขกลุ่มสายพันธุ์ chondrodystrophic ซึ่งสุนัขในกลุ่มนี้จะมีลักษณะลำตัวยาวและขาสั้น ได้แก่ Beagles, Basset Hounds, Cocker Spaniels, French Bulldog และ Pembroke Welsh Corgis
โดยความเสื่อมของหมอนรองกระดูกในสุนัขสายพันธุ์นี้สามารถพบได้ตั้งแต่สัตว์อายุน้อย โดยมีอายุเฉลี่ยประมาณ 1 ปีและอาจเกี่ยวข้องกับความผิดปกติทางพันธุกรรมของยีน fibroblast growth factor 4 (FGF4) บนโครโมโซมคู่ที่ 12 ซึ่งในปัจจุบันสามารถตรวจหายีนความผิดปกติดังกล่าวเพื่อคัดกรองสุนัขพ่อแม่พันธุ์หรือเป็นแนวทางในการดูแลสุนัข นอกจากนี้ยังมีรายงานการเกิดในแมว โดยสายพันธุ์ที่พบ ได้แก่ Domestic Shorthair, British Shorthair, Bengal, Persian และ Sphynx
2. Hansen type II โรคหมอนรองกระดูกที่เกิดจาก fibroid metaplasia ส่งผลทำให้ fibroblast- like cell ที่บริเวณ AF เกิดความเสื่อมและหนาตัวขึ้นไปกดทับไขสันหลังแบบเรื้อรังหรือที่เรียกว่า “Chronic Disc Protrusion” โดยโรคหมอนรองกระดูกแบบนี้จะเกิดในสุนัขกลุ่มสายพันธุ์ใหญ่ในกลุ่ม non-chondrodystrophic ได้แก่ Labrador Retriever, Golden Retriever, Rottweiler, German Shepherd และ Siberian Husky โดยสามารถพบได้ในสุนัขอายุมาก โดยมีอายุเฉลี่ยประมาณ 7 ปีและอาจพบร่วมกับกลุ่มโรคความเสื่อมของโครงสร้างกระดูกสันหลังส่วนอื่น ๆ ได้แก่ disc-associated cervical spondylomyelopathy (Wobbler syndrome) และ degenerative lumbosacral stenosis
การวินิจฉัย
การตรวจวินิจฉัยสัตว์ป่วยโรคหมอนรองกระดูกเริ่มจากการตรวจร่างกายทั่วไป การตรวจระบบประสาทเพื่อระบุรอยโรคและประเมินความรุนแรงของระดับอัมพาต (paretic score) นอกจากนี้ในปัจจุบันการวินิจฉัยเพื่อยืนยันโรคสามารถทำได้โดยอาศัยเครื่องมือและเทคนิคทางรังสีวิทยาดังนี้
1. เอกซเรย์หรือภาพถ่ายรังสี (radiography) เป็นเครื่องมือพื้นฐานที่ใช้ในการตรวจหารอยโรคและความผิดปกติของโครงสร้างกระดูกสันหลังเบื้องต้น โดยภาพเอกซเรย์ในสุนัขที่เป็นโรคหมอนรองกระดูกเสื่อมแบบ Hansen type I จะพบลักษณะของ disc calcification, disc space collapse และ spondylosis
2. การฉีดสารทึบรังสีเข้าไปในชั้น subarachnoid space (myelography) โดยตำแหน่งที่ฉีดได้แก่บริเวณ cerebellomedullary cistern หรือ บริเวณ lumbar L5-L6ในสุนัขและ L6-L7 ในแมว สารรังสีที่นิยมใช้ ได้แก่ iohexol ขนาดยาสูงสุดที่ใช้คือ 0.45 ml/kg โดยจะพบลักษณะของ extradural compression pattern ตรงตำแหน่งที่มีการกดทับและสามารถบ่งบอกการกดทับว่าอยู่ข้างใดมากกว่ากัน อย่างไรก็ตามเทคนิคนี้ไม่สามารถให้รายละเอียดของรอยโรคที่อยู่ในเนื้อไขสันหลังได้ชัดเจน ทั้งนี้ยังต้องเฝ้าระวังผลข้างเคียงหลังทำหัตถการ ได้แก่ ชัก (seizure) หัวใจเต้นผิดปกติ (cardiac arrhythmias) ระบบทางเดินหายใจล้มเหลว (respiratory arrest) และเสียชีวิต ในกรณีที่สัตว์ป่วยมีภาวะความผิดปกติของเกล็ดเลือด การแข็งตัวของเลือด การหักเคลื่อนของกระดูกสันหลังควรหลีกเลี่ยงการทำหัตการนี้ด้วยเช่นกัน
3. ภาพถ่ายเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (computed tomography scan; CT scan) เป็นเครื่องมือที่แสดงภาพเป็นสามมิติ โดยจะสามารถให้รายละเอียดของโครงสร้างกระดูกสันหลังในส่วนที่เป็นกระดูกได้ดีแต่จะให้รายละเอียดของเนื้อเยื่ออ่อนอย่างไขสันหลังได้น้อย ดังนั้นในกรณีที่ไม่ใช่ calcified disc material หรือหมอนรองกระดูกแบบ Hansen Type II อาจจะทำควบคู่กับหัตถการ myelography (CT-myelography) หรือการใช้เทคนิคการฉีดสารรังสีเข้าเส้นเลือด เพื่อเพิ่มความชัดเจนของผลการตรวจวินิจฉัย
4. การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (magnetic resonance imaging; MRI) เป็นเครื่องมือที่ถือว่าเป็น gold standard สำหรับการวินิจฉัยโรคหมองรองกระดูก ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายมากขึ้นในปัจจุบัน โดยภาพถ่าย MRI จะสามารถให้รายละเอียดของโครงสร้างกระดูกสันหลังอย่าง vertebral column, ligamentous structures, synovial joints, bone marrow, nerve roots, spinal cord parenchyma, cerebrospinal fluid, epidural fat และส่วนประกอบแต่ละชั้นของหมอนรองกระดูก ดังนั้นจึงสามารถวินิจฉัยแยกชนิดของโรคหมอนรองกระดูกได้
ซึ่งเป็นข้อดีที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในวินิจฉัยและการวางแผนการรักษาสัตว์ป่วยที่แตกต่างกัน รวมทั้งยังใช้เป็นเครื่องมือในการพยากรณ์ความรุนแรงของโรคโดยประเมินจากความยาวหรือพื้นที่ของพยาธิสภาพที่เกิดในเนื้อไขสันหลัง อย่างไรก็ตามสัตว์ป่วยต้องวางยาสลบนานกว่าและมีค่าใช้จ่ายมากกว่า CT Scan
การแบ่งชนิดหมอนรองกระดูกในปัจจุบัน
ในปี ค.ศ. 2020 Joe Fenn และ Natasha ร่วมกับ Canine Spinal Cord Injury Consortium (CANSORT-SCI) ได้แบ่งชนิดของโรคหมอนรองกระดูกโดยพิจารณาจากลักษณะการเคลื่อนของหมอนรองกระดูก(IVD Herniation) พยาธิสภาพความเสื่อมของหมอนรองกระดูกรอยโรคในเนื้อไขสันหลังและภาพวินิจฉัยทางรังสีวิทยา ซึ่งแบ่งได้ดังนี้
กลุ่มหมอนรองกระดูกเสื่อม (IVD degenerative)
1. Hansen Type I/Acute IVD extrusion
2. Hansen Type II/Chronic IVD protrusion
3. Acute IVD extrusion (Hansen Type I) with extensive epidural hemorrhage หมอนรองกระดูกแตกชนิดนี้ เกิดจาก NP แตกทะลุเข้าไปในโพรงไขสันหลังและทำให้เกิดการฉีกขาดของหลอดเลือด vertebral internal plexus ส่งผลทำให้เกิดเลือดออกในเนื้อไขสันหลังแบบ multi-level สัตว์ป่วยจะแสดงอาการอัมพาตเฉียบพลัน เจ็บปวดรุนแรงและมีโอกาสพัฒนาการลุกลามของการอักเสบไขสันหลัง (progressive myelomalacia; PMM) หรือ “ascending-descending myelomalacia” ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้สัตว์ป่วยเสียชีวิตได้จากระบบประสาทการหายใจล้มเหลว โดยภาพ Sagittal T2-weight MRI จะแสดงลักษณะคล้ายรูปหนอน “a worm extending” วางตัวตามแนวไขสันหลัง
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของบทความเท่านั้น อ่านบทความฉบับเต็มพร้อมหัวข้อเรื่องการรักษาและภาพประกอบได้ที่ : https://readvpn.com/article/detail/2348
บทความโดย : สพ.ญ.กนกวรรณ เกิดวุฒิ
สำหรับคุณหมอสัตวแพทย์ที่ยังไม่ได้เป็นสมาชิก
ตอนนี้ทาง VPN มีโปรโมชั่นน่าสนใจอยู่นะ
💙 อ่านออนไลน์ จ่ายถูกกว่า -
สำหรับสัตวแพทย์ท่านที่สมัครสมาชิกแบบอ่านออนไลน์ (ไม่รับหนังสือ) จ่ายเพียง 1,500 บาท/ปี เท่านั้น และยังสามารถทำ CE online ในเว็ปไซต์ได้ตามปกติ
💙 อ่านจากเล่ม เน้นสะสม -
สำหรับท่านที่สมัคร/ต่ออายุสมาชิกแบบรับหนังสือ (สามารถใช้งานเว็ปไซต์และทำ CE online ได้ด้วย)
📍 ได้ทำ CE online มากกว่า 40 คะแนน/ปี
📍 ดาวโหลด E-book ไปอ่านได้
📍 ใช้งานเว็ปไซต์ได้เต็มรูปแบบ
📍 E-learning online course
ดูรายละเอียดแพคเกจ
และสมัครออนไลน์ด้วยตัวเองได้ที่ https://www.readvpn.com/register
หรือสอบถามเพิ่มเติม
add Line :