VPN Magazine นิตยสารรายเดือน และ E-magazine สำหรับสัตวแพทย์
สมัครสมาชิกที่ www.readvpn.com
Line :
(5)

VPN (Veterinary Practitioners NEWS)
นิตยสารรายเดือนสำหรับสัตวแพทย์

ออกทุกวันที่ 15 ของเดือน

สามารถติดต่อสั่งซื้อ/สมัครสมาชิกใหม่/ต่ออายุสมาชิก
ได้ผ่านทาง LINE@
แค่คลิ๊ก https://line.me/R/ti/p/%40vpnmagazine
หรือ Line ID : (มี@ด้วย)

สวัสดีครับคุณหมอทุกท่าน ผม นายสัตวแพทย์ โสภณ สรสนิท หรือ หมอกรุ๊ป สัตวแพทย์ประจำคลินิกผิวหนัง โรงพยาบาลสัตว์เล็กจุฬาฯ หร...
18/11/2024

สวัสดีครับคุณหมอทุกท่าน ผม นายสัตวแพทย์ โสภณ สรสนิท หรือ หมอกรุ๊ป สัตวแพทย์ประจำคลินิกผิวหนัง โรงพยาบาลสัตว์เล็กจุฬาฯ หรือ โรงพยาบาลสัตว์กรุงเทพ คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปัจจุบัน ตั้งใจเขียนบทความวิชาการนี้ที่เกี่ยวข้องกับโรคผิวหนังในแมว โดยบทความนี้เป็นบทความที่อ้างอิงเชิงงานวิจัยร่วมกับประสบการณ์ทางคลินิกที่ผมจะมาแบ่งปันประสบการณ์ให้นะครับ
เริ่มต้นด้วยประโยคติดหูที่ว่า “The cat is not a small dog คือ แมวนั้นไม่ใช่สุนัขตัวเล็ก” ประโยคนี้มีความสำคัญมาก บ่งบอกถึงความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญยิ่งระหว่างแมวและสุนัข โดยแตกต่างทั้งในการตรวจวินิจฉัยและการรักษาโรค ในหลาย ๆ ระบบ รวมไปถึงโรคผิวหนัง โดยสิ่งที่แตกต่างกัน มีทั้งความชุกของโรค พยาธิกำเนิดขอโรค รูปแบบการรักษาที่ยาบางอย่างสามารถใช้ในสุนัขไม่สามารถใช้ในแมวได้ ข้อมูลเบื้องต้นเหล่านี้ทำให้เกิดคำนิยามใหม่สำหรับอาการภูมิแพ้ในแมวขึ้น โดยใช้คำว่า “feline atopic syndrome”
Feline atopic syndrome (FAS) เป็นคำนิยามที่เกิดขึ้นมาไม่นานนี้เพื่อใช้อธิบายกลุ่มอาการภูมิแพ้ที่เกิดขึ้นในแมว ซึ่งอาการนี้เป็นการเกิดอาการภูมิไวเกินหรือ hypersensitivity ต่อสิ่งต่าง ๆ ที่มีความหลากหลาย เช่น สารก่อภูมิแพ้ในสิ่งแวดล้อม (environmental allergens) สารก่อภูมิแพ้จากอาหาร (food allergens) หรืออาจจะรวมไปถึงน้ำลายหมัด (flea saliva) ซึ่ง FAS จะสามารถแบ่งได้ 4 โรคย่อย ได้แก่
1. Flea allergy dermatitis (FAD)
2. Feline food allergy (FFA)
3. Feline asthma
4. Feline atopic skin syndrome (FASS)
โดยทั้ง 4 โรคนี้เป็นกลุ่มย่อยของ FAS ดังนั้นกล่าวได้ว่า FAS เป็นคำเรียกกว้าง ๆ สำหรับแมวที่สงสัยเรื่องโรคภูมิแพ้ ซึ่งมีการศึกษาและจัดกลุ่มอาการแมวที่เป็น FAS พบว่า มีการแสดงอาการทางคลินิกที่แสดงออก 3 ระบบ ดังต่อไปนี้
1. อาการทางผิวหนัง (Cutaneous Signs)
อาการทางผิวหนังที่เกิดขึ้นกับ FAS จะแบ่งเป็น 2 ส่วนที่มีการแบ่งทางคลินิกอย่างชัดเจน ได้แก่
1.1 Cutaneous Rection Patterns ซึ่งเป็นรูปแบบของผิวหนังที่เกิดขึ้นในแมวที่เป็น FAS ซึ่งสัตวแพทย์ทุกท่านควรคำนึงถึงหรือจดจำได้เพราะว่าจะเป็นประโยชน์มากในการวินิจฉัยโรค FAS ซึ่ง cutaneous rection patterns จะแบ่งเป็น 4 รูปแบบ ได้แก่ miliary dermatitis (MD), self-induced alopecia (SIAH), face head neck pruritus (FHNP) และ eosinophilic granuloma complex (EGC)1 ซึ่ง cutaneous rection patterns แต่ละรูปแบบนั้นไม่สามารถบ่งจำเพาะอย่างที่เกิดขึ้นในสุนัข ด้วยเหตุนี้ patterns ทั้ง 4 จึงมีความสำคัญมากและจะกล่าวต่อไปภายหน้า
1.2 Other Cutaneous signs เป็นรูปแบบอื่นทางผิวหนัง เช่น urticaria non-pruritic nodules และปัญหาที่สัตวแพทย์ทางท่านอาจจะพบได้ คือ อุ้งเท้าพองอักเสบหรือ plasma cell pododermatitis ซึ่งอาการเหล่าพบได้ใน FAS และเป็นตัวหนึ่งสำคัญที่จะวินิจฉัยเรื่อง FAS ถึงอย่างไรก็ตาม อาจจะต้องพิจารณาร่วมกับอาการอื่นได้ เช่น อาการแพ้วัคซีนหรือ โรคผิวหนังอื่นที่มีรอยโรคบริเวณอุ้งเท้าได้
2. อาการทางระบบทางเดินอาหาร (Gastrointestinal Signs; GI Signs)
อาการทางระบบทางเดินอาหารที่สามารถพบได้ ใน FAS คือ อาเจียน (vomiting) น้ำหนักลด (weight loss) สูญเสียความยากอาหาร (poor appetite) รวมไปถึงท้องเสีย (diarrhea) โดยมีรายการวิจัยก่อนหน้าพบว่าในแมวที่ถูกวินิจฉัยเป็น feline food allergy (FFA) ซึ่งเห็นหนึ่งในกลุ่มของ FAS พบว่ามี GI signs ร้อยละ 181 ดังนั้นเราสามารถประยุกต์ข้อมูลเหล่านี้ในการซักประวัติและการตรวจร่างกาย เช่น ถามประวัติอาการทางระบบทางเดินอาหารหรือ f***l score ทุกครั้ง เพื่อที่จะทำการ rule in ปัญหา FAS หรือ FFA เข้าไปใน differential diagnosis lists ได้
3. อาการทางระบบทางเดินหายใจ (Respiratory Signs)
อาการสุดท้ายของ FAS ที่แมวแสดงคือ dyspnea pallor cyanosis chronic cough หรืออาการทางเดินหายใจอื่น ๆ กลุ่มของอาการนี้เป็นสิ่งหนึ่งที่สัตวแพทย์หลาย ๆ ท่านไม่ได้คำนึงถึง เพราะหลาย ๆ ท่านคงไม่คิดว่าจะเกี่ยวข้องกัน แต่หากมองเรื่องพื้นฐานเกี่ยวกับโรค คือ feline asthma นั้น พยาธิกำเนิดของโรค คือ การเกิด hypersensitivity type 1 ต่อ aeroallergen ใน pneumocyte ที่อยู่ในทางเดินหายใจมีการสร้าง cytokines และทำให้เกิด bronchoconstriction จนทำให้เกิดอาการทางระบบหายใจตามมา
ดังนั้นขณะที่เรากำลังจัดการกับ FAS นั้น เราจำเป็นต้องคำนึงถึงหลายกลุ่มอาการซึ่งจะเห็นได้ว่าภูมิแพ้ในแมวจะมีความยากและซับซ้อนมากกว่าอาการภูมิแพ้ในสุนัขมากและไม่มีความจำเพาะของอาการทางคลินิกหรือรอยโรค โดยส่วนต่อไปจะขอพูดถึงเรื่องของ cutaneous rection patterns ทั้ง 4 รูปแบบ ดังนี้
3.1 Miliary Dermatitis (MD)
MD เป็นรูปแบบของผิวหนัง ที่เป็นลักษณะของ small papules ขนาด 1-2 mm ซึ่งส่วนมากจะมี crust ล้อมรอบ โดยรอยโรคจะเป็นการกระจายทั่วตัวหรือเป็นบางส่วนของร่างกาย โดยพบว่าอาการอื่นสามารถพบ excoriations erosions หรือ hair loss ซึ่งเคสส่วนมากพบอาการคันร่วมด้วย แต่บางรายงานพบว่ามีเคสบางส่วนไม่ได้แสดงอาการ คือ nonpruritic ซึ่งมีงานวิจัยรวมรวมข้อมูลจากการศึกษาต่างในแมวที่ถูกวินิจฉัยว่าเป็น FASS พบว่าการแสดงอาการเป็น MD ร้อยละ 31.21 ซึ่งแสดงไว้ในตารางที่ 1 (ดูได้ที่บทความบนเว็บไซต์) และวิการของตัวอย่างโรคแสดงไว้ในภาพที่ 1 (ดูได้ที่บทความบนเว็บไซต์)
3.2 Self-Induced Alopecia (SIAH)
SIAH เป็นรูปแบบของผิวหนังใน FAS ที่พบได้มากที่สุด มีรายงานสูงถึงร้อยละ 601 ตามตารางที่ 1 (ดูได้ที่บทความบนเว็บไซต์) และแสดงรูปรอยโรคไว้ในรูปที่ 2A, 2B (ดูได้ที่บทความบนเว็บไซต์) ซึ่งรอยโรคนั้นเป็นรอยโรคขนร่วงตามลำตัวที่เกิดจากการเลีย คัน เกา โดยส่วนมากจะเกิดตามลำตัวหรือ หน้าท้อง สำหรับส่วนนี้อาจจะมีข้อสังเกตเพิ่มเติม เช่น พบอาการอาเจียนเป็นก้อนขน (hairball) เนื่องจากมีขนที่หลุดออกมาแล้วแมวกลืนไปซึ่งส่วนนี้อาจจะเกิดอาการอาเจียนขึ้นได้และเป็นหนึ่งใน gastrointestinal signs ดังนั้น นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่เราจำเป็นต้องถามคำถามกับเจ้าของเรื่องอาการอาเจียนและคำถามอื่นอย่างเป็นองค์รวม
3.3 Face, Head, Neck Pruritus (FHNP)
FHNP เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของ FAS ที่พบได้ อาการของโรคเป็นตามชื่อเลย คือมีรอยโรคที่หน้า หัว และคอ ที่เกิดจากการข่วนหรือเอาหน้าไปขูดทำให้เกิดแผลบริเวณในหน้าและมีโอกาสเป็น blepharitis ที่มีหรือไม่มี corneal ulceration ดังนั้นการที่มีแผลบริเวณหน้าจึงจัดการได้ยากยิ่ง โดยอาจจะต้องใช้ protective collars โดยรูปของรอยโรคแสดงไว้ในรูปที่ 3 (ดูได้ที่บทความบนเว็บไซต์)
3.4 Eosinophilic Granuloma Complex (EGC)
กลุ่มอาการสุดท้ายของ cutaneous rection patterns เป็นกลุ่มโรคที่มีลักษณะ complex โดยกลุ่มอาการเหล่านี้ประกอบด้วย 3 กลุ่มอาการ ได้แก่ indolent ulcer, eosinophilic granuloma และ eosinophilic plaque และมีความชุกของอาการสูงถึงร้อยละ 25.91 โดยแสดงไว้ในรูปที่ 4 (ดูได้ที่บทความบนเว็บไซต์) และรายละเอียดของแต่ละรูปแบบได้แสดงไว้ใน ตารางที่ 2 (ดูได้ที่บทความบนเว็บไซต์)
หลังจากที่สัตวแพทย์ผู้อ่านทุกท่านเข้าใจถึงอาการทางคลินิกของ FAS แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ แล้วเราจะตรวจวินิจฉัยเบื้องต้นได้อย่างไร จนกว่าจะวินิจฉัยได้เป็น FAS หรือเมื่อวินิจฉัยเป็น FAS แล้วจะไปต่ออย่างไร
ขั้นตอนในการตรวจวินิจฉัยโรค FAS นั้นทางผู้เขียนจะใช้รูปแบบของ 2023 AAHA Management of Allergic Skin Disease in Dogs and Cats Guidelines รวมกับเทคนิคส่วนตัวที่ใช้ในการวินิจฉัย FAS โดยวิธีการดังกล่าวสามารถประยุกต์ใช้ได้เมื่อสัตวแพทย์พบเจอเคสน้องแมวที่เข้ามาโรงพยาบาลหรือคลินิก โดยส่วนตัวแบ่งออกเป็น 4 STEP หรือ บันได 4 ขั้น
STEP 1: ประวัติและอาการ (Clinical History and Physical and Dermatologic Examination)
สำหรับประวัติและอาการ ส่วนตัวผมว่าไม่ได้เป็นเพียงประโยชน์เพียงการรักษาโรคผิวหนังเท่านั้น ผมมองว่ามีผลต่อทุกระบบและเป็นประโยชน์มากสำหรับเจ้าของสัตวเลี้ยง เพราะว่าบางครั้งเจ้าของไม่ทราบถึงข้อมูลพื้นฐานที่ควรรู้และไม่รู้วิธีเลี้ยงแมวที่เหมาะสม ข้อมูลที่สัตวแพทย์สัตวแพทย์สมควรถามเบื้องต้น มีแสดงใน ตารางที่ 3 (ดูได้ที่บทความบนเว็บไซต์)
STEP 2: การตรวจผิวหนังเบื้องต้น (Cytology, Skin Scraping, Flea Comb และ Trichogram)
การตรวจผิวหนังเบื้องต้นเป็นการตรวจที่ง่ายและมีประสิทธิภาพมาก โดยเฉพาะการทำ cytology ซึ่งเราจะสามารถพบการอักเสบ การติดเชื้อ หรือสิ่งบ่งถึงอาการแพ้ เช่น การพบ eosinophilic inflammation ได้ ดังนั้นเราสามารถวินิจฉัยโรคพื้นฐานได้หลังการตรวจเบื้องต้น หลังจากการตรวจผิวหนังเบื้องต้นจะนำไปสู่กระบวนการตรวจเพิ่มเติม เช่น หากเราเจอ ectoparasite เช่น demodicosis, feline scabies, ear mite หรือ lice จาก skin craping หรือ trichogram กระบวนการเพิ่มเติมที่เราจะทำคือ treatment trial (parasite control) หรือหากเราเจอ arthospore เราอาจจะทำ dermatophyte test medium (DTM) เพื่อวินิจฉัยยืนยันโรค dermatophytosis
สำหรับผม differential lists ที่ผมจะนึกถึงเสมอเมื่อมีแมวเข้ามาตรวจรักษาและเราคำนึงถึงก่อน ได้แก่ earmite, dermtophytosis และ flea allergy dermatitis
ดังนั้นเวลาที่ผมทำการตรวจและรักษา จะเริ่มจากการตรวจใบหูและช่องหูก่อน หากเจอขี้หูที่มีลักษณะเป็นผงกาแฟสีดำ (coffee ground ear wax) เราจะทำการตรวจ ear cytology ตรวจว่ามี ear mite หรือไม่ ผล cytology ไม่ว่าจะเป็น negative หรือ positive ผมจะทำการรักษาทันทีและเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษา ผมจะแนะนำให้เจ้าของใช้ spot on ที่มียากลุ่ม isooxazoline เป็นองค์ประกอบ3 โดยต้องทำหยอดหลังอย่างสม่ำเสมอตามข้อบ่งชี้จากบริษัทและจำเป็นต้องทำทุกตัวในบ้าน ซึ่งเราจะใช้หลักการเดียวกันนี้กับการจัดการปัญหาเรื่อง flea allergy dermatitis เช่นกัน แต่สำหรับ flea allergy dermatitis สิ่งที่ต้องเน้นย้ำกับเจ้าของสัตว์เลี้ยงคือ ต้องไม่ให้ตัวน้องแมวและสัตว์เลี้ยงตัวอื่นออกนอกบ้าน เพราะว่าจะเสี่ยงต่อการติดหมัดและมีโอกาสเกิด flea allergy dermatitis ขึ้นได้
สำหรับ dermatophytosis นั้น ส่วนมากนอกจากการทำ cytology หรือ trichogram แล้ว ผมจะมีคำถามเพิ่มเติม เช่น คุณเจ้าของมีแผลหรือเป็นโรคผิวหนังที่ติดมาจากแมวหรือไม่ เพราะว่าเป็น zoonosis หากเจ้ามีแผลที่ติดจากแมวจะเป็นอีกหนึ่งส่วนยืนยันได้ว่าเป็น dermatophytosis อีกหนึ่งคำถามก่อนหน้าเกิดรอยโรคมีไปอาบน้ำที่ grooming หรือไปฝากเลี้ยงที่อื่นหรือไม่ เพราะว่าอาจจะติดมาจากสถานที่ฝากเลี้ยงหรือที่ grooming แต่อย่างไรก็ตาม หากต้องวินิจฉัยยืนยันโรค ผมแนะนำว่าให้ทำ DTM เพื่อจะได้ทราบถึงชนิดของเชื้อรา ที่มาของเชื้อรา และใช้ในขั้นตอนการ follow up ได้
ดังนั้นหากเราจัดการ 3 ปัญหาดังกล่าว คือ ear mite dermatophytosis และ flea allergy dermatitis เรียบร้อยแล้ว แล้วเราจะไปต่อในขั้นตอนต่อไปคือการ diet trial ใน STEP4 แต่ระหว่างนั้น หาก พบว่าแมว มีอาการคันเกามาก pVAS มากกว่า 5 จาก 10 ผมจะพิจารณาให้ยาระงับอาการคันเกาก่อน เพื่อไม่ให้เกิดการคันเกาและลดอัตราการเกิดแผลหรือ secondary bacterial infection
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของบทความเท่านั้น อ่านบทความฉบับเต็มพร้อมหัวข้อเรื่องการให้ยาระงับอาการคันเกา และการทดสอบอาหาร (Step 3 และ 4) พร้อมรูปและตารางประกอบต่อได้ที่ : https://readvpn.com/article/detail/2296
บทความโดย : น.สพ.โสภณ สรสนิท - สัตวแพทย์ประจำคลินิกผิวหนัง โรงพยาบาลสัตว์กรุงเทพ
คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
สำหรับคุณหมอสัตวแพทย์ที่ยังไม่ได้เป็นสมาชิก
ตอนนี้ทาง VPN มีโปรโมชั่นน่าสนใจอยู่นะ
💙 อ่านออนไลน์ จ่ายถูกกว่า -
สำหรับสัตวแพทย์ท่านที่สมัครสมาชิกแบบอ่านออนไลน์ (ไม่รับหนังสือ) จ่ายเพียง 1,500 บาท/ปี เท่านั้น และยังสามารถทำ CE online ในเว็ปไซต์ได้ตามปกติ
💙 อ่านจากเล่ม เน้นสะสม -
สำหรับท่านที่สมัคร/ต่ออายุสมาชิกแบบรับหนังสือ (สามารถใช้งานเว็ปไซต์และทำ CE online ได้ด้วย)
📍 ได้ทำ CE online มากกว่า 40 คะแนน/ปี
📍 ดาวโหลด E-book ไปอ่านได้
📍 ใช้งานเว็ปไซต์ได้เต็มรูปแบบ
📍 E-learning online course
ดูรายละเอียดแพคเกจ
และสมัครออนไลน์ด้วยตัวเองได้ที่ https://www.readvpn.com/register
หรือสอบถามเพิ่มเติม
add Line :

โรคระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือความผิดปกติทางภูมิคุ้มกันที่มีผลต่อเม็ดเลือดและเกล็ดเลือดในสุนัขและแมวที่พบได้บ่อย คือ Immu...
15/11/2024

โรคระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือความผิดปกติทางภูมิคุ้มกันที่มีผลต่อเม็ดเลือดและเกล็ดเลือดในสุนัขและแมวที่พบได้บ่อย คือ Immune-mediated hemolytic anemia (IMHA) ซึ่งแนวทางการรักษามักมุ่งเน้นแก้ไขที่สาเหตุปฐมภูมิ ร่วมกับการรักษาตามอาการหรือประคับประคองอาการ อาทิ การใช้ยากดภูมิคุ้มกัน การถ่ายเลือด หรือการให้สารน้ำ
ปัจจุบันยาที่ออกฤทธิ์กดภูมิคุ้มกันในสุนัขและแมว แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
1. First - line และ second - line immunosuppressive drugs: Glucocorticoids, Cyclosporine, Azathioprine, Chlorambucil และ Vincristine
2. Emerging immunosuppressive drugs: Mycophenolate mofetil และ Leflunomide
ในการรักษา IMHA ด้วยการใช้ยากดภูมิคุ้มกันนั้น ยาในกลุ่ม glucocorticoids ถือว่าเป็นตัวเลือกในลำดับแรก ๆ ส่วนยากดภูมิคุ้มกันในกลุ่มอื่น ๆ เป็นตัวเลือกในลำดับถัดมา แต่มักไม่ค่อยแนะนำให้ใช้ทุกรายที่ป่วย ควรพิจารณาเป็นราย ๆ ไป นอกจากนี้ยังมีการพิจารณาใช้ glucocorticoids ร่วมกับยากดภูมิคุ้มกันชนิดอื่นได้ในบางกรณี (ตารางที่ 1 - ดูตารางได้ที่บทความบนเว็บไซต์)
การรักษาด้วยยากดภูมิคุ้มกัน แบ่งออกเป็น 2 ช่วง ได้แก่
1. Acute phase (with induction of remission): เป็นช่วงแรกในการรักษา ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อชักนำให้อาการของโรคสงบลง
2. Chronic maintenance phase: เป็นการรักษาด้วยการลดขนาดยาและลดความถี่ในการให้ยา มีวัตถุประสงค์เพื่อประคับประคองภาวะของโรคให้คงที่
ยากดภูมิคุ้มกันในกลุ่ม glucocorticoid
Glucocorticoids มีฤทธิ์ต่อระบบภูมิคุ้มกันและขบวนการอักเสบ โดยกลไกของ Glucocorticoids จะไปรบกวนการแบ่งตัวและการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด macrophages ใน mononuclear phagocytic system ลดการแบ่งเซลล์ lymphocytes และ T- lymphocytes ส่งผลต่อการทำงานของ B-cell และ T-cell ร่างกายจะมีการตอบสนองภายใน 3 ถึง 7 วันหลังการให้ Glucocorticoids โดยจะพบว่า hemorrhage ลดลง และจำนวนเกล็ดเลือดเพิ่มขึ้น
1. Prednisolone และ Prednisone
สุนัข : ขนาดยา Prednisolone และ Prednisone ที่มีผลในการกดภูมิคุ้มกันอยู่ระหว่าง 1 – 2 mg./kg. PO q12h การใช้ยาขนาดสูงขึ้น จะช่วยให้อาการของโรคดีขึ้น ในสุนัขสายพันธุ์ใหญ่ (น้ำหนักมากกว่า 25 กิโลกรัม) แนะนำให้ใช้ยาในขนาด 30 mg./m2/day เพื่อลดผลข้างเคียง
แมว : ในแมวป่วยหลาย ๆ รายจะนิยมให้ Prednisolone 4 mg./kg. PO q24h ซึ่งเป็นขนาดยาที่สูงกว่าขนาดยาที่ใช้ในสุนัข ส่วน Prednisone เป็น prodrug ที่ถูกเมเทบอไลท์เป็น Prednisolone ดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบระดับยา Prednisolone กับ Prednisone ในพลาสม่าภายหลังการกิน จะพบว่าระดับยา Prednisolone สูงกว่า Prednisone เราจึงนิยมให้ Prednisolone ในแมวมากกว่า
2. Dexamethasone
Dexamethasone สามารถนำมาใช้แทน Prednisolone และ Prednisone ได้ แต่การพิจารณาลดขนาดยาควรคำนึงถึงความแรงของยา (potency) ร่วมด้วย เนื่องจากยามีความแรงมากกว่า prednisolone ประมาณ 7 เท่า ขนาดยาที่แนะนำให้ใช้ในสุนัขและแมว คือ 0.3 – 0.5 mg./kg. IV q24h
ยากดภูมิคุ้มกันในกลุ่มอื่น ๆ
การใช้ immunosuppressive therapy อื่น ๆ ควรพิจารณาหลังจากที่ไม่ประสบความสำเร็จในการใช้ Prednisolone เพียงอย่างเดียว หรือต้องใช้ยาขนาดสูง ๆ เป็นเวลานานแล้วไม่สามารถควบคุมอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นได้ หรืออาการป่วยรุนแรง (intravascular hemolysis หรือ transfusion dependency) จึงจะพิจารณาใช้ยาในกลุ่มอื่นร่วมกัน หรือเลือกใช้ยากดภูมิคุ้มกันกลุ่มอื่น ๆ เพื่อลดอาการข้างเคียง
สุนัข : เริ่มมีการใช้ยากดภูมิคุ้มกันอื่น ๆ เพื่อลดอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ steroids และช่วยในการลดขนาดยา Glucocorticoids ได้เร็วขึ้น ยากดภูมิคุ้มกันที่นิยมใช้เป็น second-line immunosuppressive agents ได้แก่ Azathioprine และ Cyclosporine ส่วนยาอื่น ๆ ที่เริ่มมีการศึกษาฤทธิ์ในการกดภูมิคุ้มกันต่อโรค IMHA และ ITP คือ Mycophenolate mofetil และ Leflunomide
แมว : ถึงแม้ว่าแมวจะมีระดับ Glucocorticoids ในพลาสม่าสูง และ Glucocorticoids ก็มักถูกนำมาใช้เป็น first-line immunosuppressive agents ในการรักษา IMHA และ ITP แต่ในแมวป่วยบางรายสัตวแพทย์อาจพิจารณาใช้ second-line immunosuppressive อันได้แก่ Cyclosporine และ Chlorambucil เป็นต้น
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของบทความเท่านั้น อ่านบทความฉบับเต็มพร้อมหัวข้อเรื่องยา Azathioprine, Cyclosporine, Mycophenolate mofetil, Leflunomide และ Chlorambucil ต่อได้ที่ : https://readvpn.com/article/detail/537
บทความโดย : ผศ. สพ.ญ. ดร. อักษร แสงเทียนชัย
สำหรับคุณหมอสัตวแพทย์ที่ยังไม่ได้เป็นสมาชิก
ตอนนี้ทาง VPN มีโปรโมชั่นน่าสนใจอยู่นะ
💙 อ่านออนไลน์ จ่ายถูกกว่า -
สำหรับสัตวแพทย์ท่านที่สมัครสมาชิกแบบอ่านออนไลน์ (ไม่รับหนังสือ) จ่ายเพียง 1,500 บาท/ปี เท่านั้น และยังสามารถทำ CE online ในเว็ปไซต์ได้ตามปกติ
💙 อ่านจากเล่ม เน้นสะสม -
สำหรับท่านที่สมัคร/ต่ออายุสมาชิกแบบรับหนังสือ (สามารถใช้งานเว็ปไซต์และทำ CE online ได้ด้วย)
📍 ได้ทำ CE online มากกว่า 40 คะแนน/ปี
📍 ดาวโหลด E-book ไปอ่านได้
📍 ใช้งานเว็ปไซต์ได้เต็มรูปแบบ
📍 E-learning online course
ดูรายละเอียดแพคเกจ
และสมัครออนไลน์ด้วยตัวเองได้ที่ https://readvpn.com/user/plan
หรือสอบถามเพิ่มเติม
add Line :

รีบสมัครด่วน เหลือแค่ 5 ที่นั่งเท่านั้น เต็มแล้วเต็มเลย !!!โอกาสสุดท้ายแล้ว ใครที่สนใจอยากเปิดร้านตัดขนน้องแมว สมัรเรียน...
15/11/2024

รีบสมัครด่วน เหลือแค่ 5 ที่นั่งเท่านั้น เต็มแล้วเต็มเลย !!!
โอกาสสุดท้ายแล้ว ใครที่สนใจอยากเปิดร้านตัดขนน้องแมว สมัรเรียนหลักสูตร 1 วัน ครบจบเรื่องตัดขนแมว ทั้ง Grooming, Behaviour & Care กันได้เลย
บอกเลยว่าห้ามพลาดกับหลักสูตร 1 วันครบจบเรื่องแมว กับการสอนวิธี Grooming, Behavior และการดูแลน้องแมว โดยในหลักสูตรมีรายละเอียดดังนี้
- การเตรียมอุปกรณ์การอาบน้ำ
- การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์อย่างเหมาะสม
- ขั้นตอนการอาบน้ำแมว
- วิธีการเป่าขนและแปรงขนแมว
- วิธีการจับและควบคุมแมว
- วิธีสังเกตุอาการแมวเครียดและจำแนกอาการแมวป่วยเบื้องต้น
วันที่ : 18, 19 พ.ย. 2567 (เลือกได้ 1 วัน)
(วันที่ 18 พ.ย. เหลืออีก 2 ที่ / วันที่ 19 พ.ย. เหลืออีก 3 ที่)
เวลา : 09.30 - 15:00 น.
สถานที่ : Kaset Pet Grooming School
📍ค่าอบรม 2,990 บาท📍
(รับเพียง 15 ท่าน / วัน)
💬 สนใจทักแอดมินได้เลยค่ะ
Line:
Tel: 0819893983

27 พ.ย. นี้ เคลียร์คิวให้ว่าง !!!เตรียมพบกันอีกครั้งกับสุดยอด Webinar ส่งท้ายปี “Cat Expert: The Series”🐱EP.2: ถามมา ตอบ...
13/11/2024

27 พ.ย. นี้ เคลียร์คิวให้ว่าง !!!
เตรียมพบกันอีกครั้งกับสุดยอด Webinar ส่งท้ายปี “Cat Expert: The Series”
🐱EP.2: ถามมา ตอบไป ทุกข้อสงสัยในการทำวัคซีนแมว
พิเศษ ! ร่วมกิจกรรมส่งคำถาม
ลุ้นรับ “ถุงผ้าลายน้องแมว” 10 รางวัล
คลิกเลย 👉🏼 https://forms.gle/v4xpLttcCzdDBivN6
รับชมสัมมนาและทำข้อสอบ รับ CE 2 คะแนน✨
พร้อมกิจกรรมลุ้นรางวัลอีกมากมาย 🎁
🗓️ 27 พฤศจิกายน 2567
⏰ เวลา 13.00-15.30 น.
📺 รับชมได้ทาง page : "VPN Magazine"

อาหารมีบทบาทที่สำคัญต่อสุขภาพของสัตว์เลี้ยง ความต้องการทางโภชนาการในช่วงวัยที่จำเพาะ ได้แก่ แม่ตั้งท้องและให้นม รวมถึงช่...
13/11/2024

อาหารมีบทบาทที่สำคัญต่อสุขภาพของสัตว์เลี้ยง ความต้องการทางโภชนาการในช่วงวัยที่จำเพาะ ได้แก่ แม่ตั้งท้องและให้นม รวมถึงช่วงวัยที่กำลังเจริญเติบโตนั้น มีความแตกต่างไปจากสุนัขและแมวโตเต็มวัยอย่างมาก ในช่วงวัยที่สำคัญเหล่านี้สัตว์เลี้ยงต้องการอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วนสมดุลและมีความจำเพาะเจาะจง เช่น พลังงานสูง (metabolizable energy) โปรตีนสูง มีสมดุลของแคลเซียมและฟอสฟอรัสที่เหมาะสม เป็นต้น การขาดสารอาหารอาจส่งผลต่อสุขภาพของแม่และการเจริญเติบโตของลูกสุนัขหรือลูกแมวในระยะยาว ดังนั้นการดูแลโภชนาการที่เหมาะสมจึงมีส่วนสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพของทั้งแม่และลูก
การจัดการทางโภชนาการในช่วงตั้งท้องและให้นมแก่สุนัขและแมว
ถึงแม้ว่าระยะเวลาในการอุ้มท้องของสุนัขและแมวค่อนข้างใกล้เคียงกัน แต่การจัดการอาหารมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน เนื่องจากระยะตั้งท้องในสุนัขสามารถแบ่งออกเป็น 2 ระยะ โดยในระยะแรกลูกสัตว์จะมีการเจริญเติบโตที่ค่อนข้างช้า ทำให้พลังงานที่แม่สุนัขควรได้รับต่อวัน (daily energy requirement, DER) ในช่วง 42 วันแรกของการตั้งท้อง จะใกล้เคียงกับก่อนตั้งท้อง คือ ประมาณ 1.2 – 1.8 เท่าของพลังงานในระยะพัก (resting energy requirement, RER หรือ 70 x body weight (Kg)0.75) และจะเพิ่มขึ้นเป็น 3 x RER ในระยะที่ 2 หรือช่วง 21 วันก่อนคลอด ซึ่งตัวอ่อนมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยกว่า 70% ของการเจริญเติบโตของตัวอ่อนจะเกิดขึ้นในช่วงท้ายนี้
แตกต่างจากแมวที่อัตราการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักตัวมีแนวโน้มเป็นเส้นตรง โดยน้ำหนักตัวจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นตั้งแต่เริ่มตั้งท้อง และพบว่าน้ำหนักตัวก่อนคลอดจะเพิ่มขึ้นได้ถึง 38% ทำให้การจัดการอาหารในแม่แมวจึงแนะนำให้ค่อย ๆ เพิ่มปริมาณอาหารหรือให้อาหารแบบ free choice feeding โดยพบว่า ในระยะท้ายของการตั้งท้อง แม่แมวอาจกินอาหารเพิ่มจากปกติถึง 40%
อย่างไรก็ตามในช่วงใกล้คลอดแม่สุนัขและแม่แมวมักมีความอยากอาหารลดลง อาจพิจารณาให้อาหารเป็นมื้อย่อย ๆ แต่บ่อย ๆ หรือให้ในรูปแบบ free-choice feeding สำหรับการจัดการอาหารในช่วง peak lactation แม่สุนัขจะต้องการพลังงานเพิ่มขึ้น 3-4 เท่าของสุนัขโตเต็มวัย (adult DER) และขึ้นกับจำนวนลูกสุนัข โดยเฉลี่ยแม่สุนัขจะต้องการพลังงานเท่ากับ DER + (25% DER x จำนวนลูกสุนัข) สำหรับแม่แมวในช่วง peak lactation จะต้องการพลังงาน 2.5-3.0 เท่าของแมวปกติ
ทั้งนี้สัตวแพทย์ควรประเมิน body condition score (BCS) ของแม่ ร่วมกับอัตราการเจริญเติบโตของลูกอย่างสม่ำเสมอเพื่อปรับปริมาณอาหารได้อย่างเหมาะสม อีกสิ่งที่ต้องคำนึงถึงในช่วงก่อนหย่านม คือ ต้องค่อย ๆ ปรับลดปริมาณอาหารลง เพื่อให้แม่สุนัขและแม่แมวผลิตน้ำนมลดลง ป้องกันการเกิดภาวะ mammary gland distention/discomfort หลังหย่านม
คุณค่าทางโภชนาการของอาหารสำหรับระยะตั้งท้องและให้นม อาหารแม่สุนัขควรมีพลังงานไม่น้อยกว่า 4.0 kcal/g ของน้ำหนักวัตถุแห้ง (DM, dry matter basis) โปรตีน 25-35% DM ไขมันไม่น้อยกว่า 20% DM คาร์โบไฮเดรต (digestible carbohydrate) ไม่น้อยกว่า 23% DM แคลเซียม 1.0-1.7% DM ฟอสฟอรัส 0.7-1.3% DM โดยมีสัดส่วนแคลเซียมต่อฟอสฟอรัส 1:1 – 2:1 และอาหารสำหรับแม่แมวควรมีพลังงาน 4.0-5.0 kcal/g DM โปรตีน 35-50% DM ไขมัน 18-35% DM คาร์โบไฮเดรตไม่น้อยกว่า 10% DM (โดยเฉพาะช่วงให้นม) แคลเซียม 1.0-1.6% DM ฟอสฟอรัส 0.8-1.4% DM โดยมีสัดส่วนแคลเซียมต่อฟอสฟอรัส 1:1 – 1.5:1
สารอาหารที่ควรให้ความสำคัญเพิ่มเติมเป็นพิเศษในแม่ตั้งท้อง คือ folic acids ซึ่งมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะ cleft palates โดยเฉพาะในสุนัขพันธุ์หน้าสั้น (brachycephalic breeds) โดยควรได้รับในปริมาณ 5 mg ต่อวันทั้งในสุนัขและแมว และสามารถเริ่มเสริม folic acid ได้ตั้งแต่เตรียมการผสมพันธุ์หรือเข้าสู่ระยะ estrus สำหรับในแมวปริมาณ taurine ในอาหารเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง แม่แมวที่ขาดกรดอะมิโนจำเป็นในช่วงตั้งท้อง อาจเหนี่ยวนำให้เกิด embryonic resorption ในระยะแรกของการตั้งครรภ์หรือก่อนวันที่ 25 ของการตั้งท้อง โดยปริมาณของ taurine ที่แนะนำให้มีในอาหารควรมากกว่า 0.25% DM สำหรับอาหารเปียก และ 0.1% DM สำหรับอาหารเม็ด
โดยทั่วไปแล้วปริมาณ taurine มักจะเพียงพอหากให้อาหารสำเร็จรูปทางการค้า แต่อาจต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษในแม่แมวที่ได้รับอาหารปรุงเอง (home-made diet) นอกจากนี้ยังมีกรดไขมันจำเป็น 2 ชนิดที่หากมีการเสริมอย่างเพียงพอในแม่สุนัขและแม่แมวจะส่งผลดีต่อพัฒนาการของลูก ได้แก่ eicosatetraenoic acid (EPA) และ docosahexaenoic acid (DHA) ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มโอเมกา 3 โดยควรมี DHA ในอาหารไม่น้อยกว่า 0.02% DM พบว่าลูกสุนัขและลูกแมวจะมีความสามารถในการเรียนรู้ ความจำ และสายตาที่ดีตามมาด้วย สำหรับข้อควรระวังในการให้อาหารเสริมแก่แม่ตั้งท้อง คือ การเสริมแคลเซียมมากเกินความจำเป็น โดยเฉพาะการตั้งท้องระยะท้าย รวมถึงระยะให้นม เนื่องจากเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิด eclampsia หลังคลอด โดยเฉพาะในสุนัขพันธุ์เล็ก
การจัดการทางโภชนาการในลูกสุนัขและลูกแมว
ในลูกสัตว์แรกคลอดควรมีการจัดการให้ลูกสัตว์ได้รับนมน้ำเหลือง (colostrum) ซึ่งเป็นแหล่งสารอาหารที่สำคัญของลูกสัตว์ และยังเป็นแหล่งของ antibody จากแม่ โดยเฉพาะใน 24 ชั่วโมงแรกหลังคลอด ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ระบบทางเดินอาหารของลูกสุนัขและลูกแมวสามารถดูดซึม antibody ที่อยู่ในนมน้ำเหลืองได้อย่างเต็มที่ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของลูกสัตว์แข็งแรง รวมถึงการได้รับนมน้ำเหลืองจะช่วยเพิ่ม post-natal circulating volume กระตุ้นการไหลเวียนโลหิตของลูกสัตว์ให้เป็นปกติหลังคลอด หากจำเป็นต้องใช้นมทดแทน (milk replacer) ในการเลี้ยงลูกสุนัขหรือลูกแมวแรกคลอดจนถึงอายุประมาณ 3 สัปดาห์ ควรเลือกนมทดแทนที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่ใกล้เคียงกับน้ำนมแม่สุนัขหรือน้ำนมแม่แมว
หลังจากลูกสุนัขและลูกแมวมีอายุเกิน 4 สัปดาห์ การได้รับนมเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโต ควรเริ่มเสริมอาหารตามวัย (solid food) สูตรสำหรับลูกสุนัขหรือลูกแมว และเตรียมความพร้อมสำหรับการหย่านมที่อายุหลัง 6 สัปดาห์ โดยในช่วงแรกควรเริ่มจากอาหารกึ่งแข็ง (semi-solid food) อาจใช้อาหารเม็ดแช่น้ำหรือนมในสัดส่วน 1:3 หรืออาหารเปียกผสมน้ำในอัตราส่วน 2:1 เมื่อเข้าสู่สัปดาห์ที่ 5-6 ที่ลูกสุนัขและลูกแมวจะมีฟันขึ้นแล้วจึงค่อยปรับให้ลองกินอาหารเม็ดได้ สำหรับพลังงานที่ลูกแมวควรได้รับในแต่ละวันจะอยู่ที่ประมาณ 2.5 x RER
ส่วนในลูกสุนัขจะแบ่งระยะเจริญเติบโตออกเป็น 2 ช่วง ได้แก่ หลังหย่านมจนอายุ 4 เดือน ควรได้รับพลังงานในแต่ละวัน 3 x RER และช่วงอายุ 4 เดือนจนถึงโตเต็มวัย (ประมาณ 12 เดือน) ควรได้รับพลังงานวันละ 2 x RER อย่างไรก็ตามในสุนัขสายพันธุ์ใหญ่ (>25 kg) ซึ่งเข้าสู่ระยะโตเต็มวัยช้ากว่า ควรพิจารณาให้อาหารสูตรลูกสุนัขไปจนอายุประมาณ 18 เดือน ทั้งนี้เจ้าของสัตว์และสัตวแพทย์ควรทำการประเมินอัตราการเจริญเติบโต ร่วมกับการชั่งน้ำหนักตัวของลูกสัตว์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อปรับปริมาณอาหารให้เหมาะสมตามระยะการเจริญเติบโต
คุณค่าทางโภชนาการของอาหารสำหรับลูกสุนัขและลูกแมวหลังหย่านมจนถึงโตเต็มวัย สำหรับลูกสุนัขควรมีพลังงาน 3.5-4.5 kcal/g DM โปรตีน 22-32% DM ไขมัน 10-25% DM สำหรับลูกแมวนั้นควรได้รับอาหารที่มีพลังงาน 4.0-5.0 kcal/g DM โปรตีน 35-50% DM ไขมัน 18-35% DM ปริมาณแคลเซียมและฟอสฟอรัสที่แนะนำให้มีในอาหารเพื่อการเจริญเติบโตที่เหมาะสมในลูกสุนัขสายพันธุ์เล็กถึงกลาง (

อาการที่ไม่พึงประสงค์จากอาหาร (Adverse food reaction; AFR) เป็นการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน (การแพ้อาหาร; food allergy ห...
12/11/2024

อาการที่ไม่พึงประสงค์จากอาหาร (Adverse food reaction; AFR) เป็นการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน (การแพ้อาหาร; food allergy หรือภาวะไวต่ออาหาร; food hypersensitivity) หรือไม่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน (ภูมิแพ้อาหารแฝง; food intolerance) ต่อส่วนประกอบของอาหาร โดยการแพ้อาหาร (food allergy) เป็นการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติที่เกิดจากการสัมผัสกับสารจำเพาะในอาหาร สารก่อภูมิแพ้ส่วนใหญ่มักเป็น glycoproteins ที่มีน้ำหนักโมเลกุลน้อยกว่า 70 kDa ส่วนภูมิแพ้อาหารแฝง (food intolerance) จะเกิดจากการตอบสนองต่อคาร์โบไฮเดรต สี รสชาติและสารกันบูด
การวินิจฉัยอาการที่ไม่พึงประสงค์จากอาหาร (AFR) มักดำเนินควบคู่ไปกับการรักษา เนื่องจากการยืนยันการเกิดโรคจะขึ้นอยู่กับการตอบสนองต่อการบำบัด ซึ่งในการยืนยัน AFR จะขึ้นอยู่กับอาการทางคลินิกที่ลดลงหรือหายไป เมื่อสัตว์นั้นได้รับ elimination diet อย่างเข้มงวด แล้วมีอาการทางคลินิกที่กลับมาเป็นซ้ำเมื่อได้รับอาหาร ขนมขบเคี้ยวชนิดเดิม หรือการให้สารต่าง ๆ ทางปาก และอาการทางคลินิกดังกล่าวนี้จะหายไปเมื่อหลังจากได้รับ elimination diet ซ้ำอีกครั้ง
การทำ Elimination–Challenge Diet Trial
การทดสอบอาหารแบบ complete diagnostic elimination-challenge diet trial (ECDT) ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่ Eliminate, Challenge, Confirm และ Identify ซึ่งอาจใช้ระยะเวลานานหลายเดือน โดยระยะเวลาของแต่ละขั้นตอนนั้นจะขึ้นอยู่กับการตอบสนองต่อการรักษาของสัตว์ป่วยและการให้ความร่วมมือจากเจ้าของสัตว์ ในแต่ละขั้นตอนของการทดสอบนี้จะไม่สามารถข้ามไปยังขั้นตอนใหม่ได้จนกว่าจะได้ผลเสร็จสิ้นของขั้นตอนก่อนหน้าอย่างสมบูรณ์ ซึ่งเจ้าของสัตว์บางรายอาจปฏิเสธการทดสอบไปยังขั้นตอนใหม่ เมื่อเห็นว่า สัตว์เลี้ยงของตนมีอาการดีขึ้นแล้ว
ขั้นตอนที่ 1: Eliminate
ในขั้นตอนแรกนี้จะเริ่มให้ trial diet (เพียงอย่างเดียว) และน้ำดื่มสะอาดเท่านั้น เป็นระยะเวลาทั้งสิ้น 12 สัปดาห์ แล้วติดตามอาการทางคลินิกที่ลดลง ร่วมกับหลีกเลี่ยงการให้ขนมขบเคี้ยว อาหารเสริม แคปซูล ยาสีฟัน ขนมขัดฟัน การออกไปกินของอย่างอื่นนอกบ้าน รวมทั้งการให้ยากำจัดปรสิตชนิดแบบกิน (ใช้เป็นแบบหยดแทน) หากจำเป็นจริง ๆ ให้สัตวแพทย์พิจารณาเป็นรายเคสไป ในช่วงของการเปลี่ยนอาหารชนิดใหม่นี้ควรดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไปภายใน 5 ถึง 7 วันก่อน สัตว์เลี้ยงบางตัวอาจตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงอาหารอย่างรวดเร็วได้ อาการทางระบบทางเดินอาหารมักจะดีขึ้นภายใน 2 ถึง 3 สัปดาห์ ในขณะที่อาการทางระบบผิวหนังมักจะดีขึ้นภายใน 4 ถึง 12 สัปดาห์
จากการศึกษาของ Olivry et al. (2015) พบว่า สัตว์ป่วย 80% อาการทางระบบผิวหนังหายกลับมาเป็นปกติภายใน 5 สัปดาห์ (สุนัข) หรือ 6 สัปดาห์ (แมว) สัตว์ป่วย 90% หายเป็นปกติอย่างสมบูรณ์ภายใน 8 สัปดาห์ และสัตว์ป่วยน้อยกว่า 5% จำเป็นต้องดำเนินการทดสอบตามขั้นตอนที่ 1 นี้ต่อไปอีกนานกว่า 13 สัปดาห์ ทั้งนี้ขั้นตอนที่ 1 (Eliminate) นี้จะสิ้นสุดลงจากการประเมินอาการทางคลินิกที่ลดลงตามความพึงพอใจของสัตวแพทย์ผู้ทำการรักษา และหลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการของขั้นตอนที่ 1 แล้วพบว่า สามารถช่วยลดอาการทางคลินิกลงได้ เจ้าของสัตว์บางรายอาจขอยุติการทดสอบไปขั้นตอนที่ 2
ขั้นตอนที่ 2: Challenge
ขั้นตอนนี้จะเป็นการนำอาหารเดิมกลับมาให้สัตว์กินใหม่อีกครั้ง (ยังคงเลี่ยงการให้ขนมขบเคี้ยว และ/หรือ อาหารเสริมอื่น ๆ) ร่วมกับติดตามอาการที่กลับมาเป็นซ้ำ หากสัตว์มีอาการที่ไม่พึงประสงค์จากอาหารมักจะพบอาการทางคลินิกที่กลับมาเป็นซ้ำได้ใน 2-3 วันหรือบางตัวอาจนานถึง 2 สัปดาห์ ซึ่งขั้นตอนที่ 2 (Challenge) จะสิ้นสุดลงเมื่อพบว่า สัตว์มีอาการทางคลินิกที่กลับมาเป็นซ้ำใหม่อีกครั้ง และหากมีการยุติการทดสอบของขั้นตอนที่ 2 นี้จะยังไม่สามารถยืนยันอาการที่ไม่พึงประสงค์จากอาหารในสัตว์ตัวนั้นได้
ขั้นตอนที่ 3: Confirm
ขั้นตอนนี้จะให้ elimination diet เพียงอย่างเดียวใหม่อีกครั้ง เป็นระยะเวลา 2-4 สัปดาห์ โดยอาการทางคลินิกที่หายไปในขั้นตอนนี้จะเป็นการยืนยันการวินิจฉัยอาการที่ไม่พึงประสงค์จากอาหาร (AFR) และหากอาหารที่ใช้ในขั้นตอนการทดสอบนี้มีความเหมาะสมกับสัตว์ป่วยก็จะสามารถใช้ในขั้นตอนถัดไป (Identify) ได้ เพื่อยืนยัน food allergen ที่จำเพาะของสัตว์ต่อไป โดยขั้นตอนที่ 3 (Confirm) นี้จะสิ้นสุดลงเมื่ออาการทางคลินิกของสัตว์หายไป แต่ยังไม่สามารถยืนยัน food allergen ที่จำเพาะ ทั้งนี้เจ้าของสัตว์อาจเลือกที่จะไม่ดำเนินการทดสอบต่อไปอีกได้
ขั้นตอนที่ 4: Identify
ขั้นตอนสุดท้ายของการทดสอบ ECDT นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อระบุวัตถุดิบจำเพาะที่ก่อให้เกิดอาการและควรหลีกเลี่ยง ในขั้นตอนนี้ สัตว์ป่วยจะยังคงได้รับ elimination diet ร่วมกับวัตถุดิบอาหารบางชนิดที่เคยได้รับมาก่อน (ส่วนใหญ่มักเป็นแหล่งของโปรตีน) ในปริมาณเพียง 10% ของ daily energy requirement (DER) เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ต่อ 1 ชนิดของวัตถุดิบอาหารที่ต้องการทดสอบ ซึ่งอาจอิงวัตถุดิบที่ต้องการทดสอบจากประวัติอาหารหรือของกินอย่างอื่นที่สัตว์เคยได้รับมาก่อนหน้านี้แล้วทำให้เกิดอาการในขั้นตอนที่ 2
ตัวอย่างเช่น หากในอาหารเดิมมีแหล่งโปรตีน 3 ชนิด ก็ควรพิจารณาทดสอบวัตถุดิบแต่ละชนิดแยกกันในแต่ละ 2 สัปดาห์ แล้วติดตามอาการ ซึ่งหากสัตว์ป่วยไม่แสดงอาการทางคลินิกต่อวัตถุดิบอาหารไหนก็จะสามารถให้วัตถุดิบอาหารนั้นต่อไปได้ แต่หากพบอาการก็ควรหลีกเลี่ยงวัตถุดิบอาหารนั้น การดำเนินการในขั้นตอนที่ 4 (Identify) นี้อย่างเสร็จสิ้นสมบูรณ์จะสามารถช่วยระบุชนิดวัตถุดิบอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงและช่วยพยากรณ์โรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของบทความเท่านั้น อ่านบทความฉบับเต็มพร้อมหัวข้อเรื่อง การเลือก Elimination Diet พร้อมตารางประกอบเข้าใจง่าย ได้ที่ : https://readvpn.com/article/detail/2295
บทความโดย : สพ.ญ. ดร.สาธิตา อารีรัตน์
สำหรับคุณหมอสัตวแพทย์ที่ยังไม่ได้เป็นสมาชิก
ตอนนี้ทาง VPN มีโปรโมชั่นน่าสนใจอยู่นะ
💙 อ่านออนไลน์ จ่ายถูกกว่า -
สำหรับสัตวแพทย์ท่านที่สมัครสมาชิกแบบอ่านออนไลน์ (ไม่รับหนังสือ) จ่ายเพียง 1,500 บาท/ปี เท่านั้น และยังสามารถทำ CE online ในเว็ปไซต์ได้ตามปกติ
💙 อ่านจากเล่ม เน้นสะสม -
สำหรับท่านที่สมัคร/ต่ออายุสมาชิกแบบรับหนังสือ (สามารถใช้งานเว็ปไซต์และทำ CE online ได้ด้วย)
📍 ได้ทำ CE online มากกว่า 40 คะแนน/ปี
📍 ดาวโหลด E-book ไปอ่านได้
📍 ใช้งานเว็ปไซต์ได้เต็มรูปแบบ
📍 E-learning online course
ดูรายละเอียดแพคเกจ
และสมัครออนไลน์ด้วยตัวเองได้ที่ https://www.readvpn.com/register
หรือสอบถามเพิ่มเติม
add Line :

ที่อยู่

68/932 Moo 8 Soi 28
Bangkok
11000

เวลาทำการ

จันทร์ 09:00 - 17:00
อังคาร 09:00 - 17:00
พุธ 09:00 - 17:00
พฤหัสบดี 09:00 - 17:00
ศุกร์ 09:00 - 17:00

เบอร์โทรศัพท์

+6629655020

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ VPN Magazineผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง VPN Magazine:

วิดีโอทั้งหมด

แชร์

ประเภท

Our Story

VPN (Veterinary Practitioners NEWS) นิตยสารรายเดือนสำหรับสัตวแพทย์ สามารถสมัครสมาชิกใหม่ได้ผ่านทาง https://www.readvpn.com/VPN/Subscription


สัตวแพทย์ อื่นๆใน Bangkok

แสดงผลทั้งหมด