VPN Magazine นิตยสารรายเดือน และ E-magazine สำหรับสัตวแพทย์
สมัครสมาชิกที่ www.readvpn.com
Line :
(5)

VPN (Veterinary Practitioners NEWS)
นิตยสารรายเดือนสำหรับสัตวแพทย์

ออกทุกวันที่ 15 ของเดือน

สามารถติดต่อสั่งซื้อ/สมัครสมาชิกใหม่/ต่ออายุสมาชิก
ได้ผ่านทาง LINE@
แค่คลิ๊ก https://line.me/R/ti/p/%40vpnmagazine
หรือ Line ID : (มี@ด้วย)

เชื่อว่าสัตวแพทย์หลายท่านต้องเคยมีการประยุกต์ใช้ยาตามสถานการณ์จำเป็น เช่น หั่นยาเม็ดให้มีขนาดเล็กลงเพื่อลดขนาดยาเนื่องจา...
13/12/2024

เชื่อว่าสัตวแพทย์หลายท่านต้องเคยมีการประยุกต์ใช้ยาตามสถานการณ์จำเป็น เช่น หั่นยาเม็ดให้มีขนาดเล็กลงเพื่อลดขนาดยาเนื่องจากไม่มีเม็ดยาที่มีขนาดเล็กกว่านี้แล้ว หรือการทำให้ยาเม็ดเป็นยาน้ำ สิ่งเหล่านี้นั้นคือการทำ Compounded Drugs หรือการเตรียมยาเฉพาะคราว ซึ่งสิ่งที่สัตวแพทย์ควรรู้ ก่อนเตรียมยาเฉพาะคราว (Compounded drugs) ให้สัตว์เลี้ยงมีดังนี้
ในทางคลินิก บ่อยครั้งที่เราพบว่ามีรูปแบบยาที่จำกัด ไม่เพียงพอต่อการเลือกใช้ให้เหมาะสมกับสัตว์ป่วยบางราย จึงมีความจำเป็นต้องเตรียม CPD ขึ้นมาใช้ ทั้งจากยาสำหรับสัตว์ (veterinary drugs) และยาสำหรับคน (human drugs) ที่นำมาใช้ในสัตว์ อย่างไรก็ตามสัตวแพทย์ควรพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนว่า จำเป็นหรือไม่ที่ต้องเตรียม CPD]
🔵 ข้อแนะนำที่พึงระลึกก่อนเตรียม CPD ดังนี้
- มีความจำเป็นต้องใช้ยาที่มีความแรง ความเข้มข้น หรือรูปแบบยาที่ไม่สามารถหายาต้นตำรับที่มีใช้ทั่วไปมาใช้ได้
- ยาที่มีใช้อยู่ในปัจจุบัน เป็นรูปแบบยาที่บริหารยายาก โดยเฉพาะการบริหารยาด้วยวิธีการป้อนให้สัตว์กิน
- สัตว์แพ้สารปรุงแต่งยา (excipient) ที่มีในยาต้นตำรับ จึงจำเป็นต้องนำสารออกฤทธิ์ (active ingredient) มาเตรียมยาเอง
- มีความพร้อมของอุปกรณ์ สถานที่ และวิธีการในการเตรียมยาที่ถูกต้อง
- ไม่ควรเตรียม CPD เพื่อจุดประสงค์ในการลดต้นทุนค่ายา
CPD อาจมีความแตกต่างจากยาต้นตำรับ โดยพบว่ามียาหลายชนิดที่เมื่อเตรียมขึ้นมาแล้ว ยาที่ได้จะมีคุณภาพด้อยกว่ายาต้นตำรับ ให้ประสิทธิผลการรักษาไม่คงที่ หรืออาจเกิดผลไม่พึงประสงค์ต่อสัตว์ซึ่งอาจเกิดจากการปนเปื้อนในขั้นตอนการเตรียมยา (ตารางที่ 1 - ดูตารางได้ที่บทความบนเว็บไซต์) นอกจากนี้ยังพบว่า ยาใช้ภายนอกเป็นยาอีกกลุ่มหนึ่งที่นิยมเตรียม CPD ขึ้นมาใช้ในแมว ซึ่งมีข้อแนะนำว่า ไม่ควรนำยาปฏิชีวนะ ยาที่ออกฤทธิ์ต่อทางเดินอาหาร และยาที่เป็นพิษต่อเซลล์ เช่น ยาต้านมะเร็ง มาทำการปรุงยา เนื่องจากอาจเกิดผลไม่พึงประสงค์จากยารูปแบบนี้ในแมวได้ (ตารางที่ 2 - ดูตารางได้ที่บทความบนเว็บไซต์)
ตัวอย่างยาที่นิยมเตรียมเป็น compounded drugs และข้อควรระวัง
1. Doxycycline hyclate หากนำยาเม็ดมาเตรียมเป็นยาน้ำพบว่า ยาจะเสื่อมสภาพภายใน 7 วัน หากนำยาเม็ดมาเตรียมเป็นรูปยาเปียก (paste) ต้องเตรียมในห้องปฎิบัติการที่มีวิธีการเตรียมยาและอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน รวมทั้งผู้เตรียมยาต้องมีความชำนาญ
2. Fluoroquinolones เช่น enrofloxacin, orbifloxacin สัตวแพทย์นิยมเตรียมเป็น CPD เพื่อใช้ในสัตว์กลุ่ม exotic pets และม้า มีข้อควรระวังคือ การบดผสมยากลุ่มนี้กับวิตามินหรือแร่ธาตุเช่น ยาบำรุงเลือดที่มีเหล็กเป็นองค์ประกอบ อาจเกิด chelation ระหว่างกัน ทำให้รบกวนการดูดซึมยาเข้าสู่ร่างกาย ส่งผลต่อประสิทธิผลการรักษา ดังนั้นหากต้องการเตรียม CPD ของยากลุ่มนี้แนะนำให้ผสมในน้ำเชื่อมมาตรฐานเช่น corn syrup จะช่วยให้ได้ยาที่มีประสิทธิผลใกล้เคียงยาต้นตำรับ
3. Itraconazole เป็นยาอีกชนิดหนึ่งที่นิยมเตรียม CPD ทั้งเตรียมจากสารออกฤทธิ์ที่ยังไม่เตรียมเป็นยาสำเร็จรูป และเตรียมจากยาต้นตำรับ พบว่าการเตรียม CPD ของยาชนิดนี้ยามักจะถูกดูดซับเข้าไปในผิวภาชนะที่เตรียมยาระหว่างการปรุงยา ทำให้ความแรงของยาที่ได้ลดลงจากที่คำนวณไว้ ดังนั้นหากจำเป็นต้องเตรียม CPD แนะนำให้ใช้ภาชนะแก้วเกรดสำหรับเตรียมยา ใช้เครื่องชั่งละเอียด และ เตรียมโดยผู้ชำนาญงาน
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของบทความเท่านั้น อ่านบทความฉบับเต็มพร้อมตารางประกอบได้ที่ : https://readvpn.com/article/detail/288
บทความโดย : รศ. สพ.ญ. ดร. ปิยะรัตน์ จันทร์ศิริพรชัย
สำหรับคุณหมอสัตวแพทย์ที่ยังไม่ได้เป็นสมาชิก
ตอนนี้ทาง VPN มีโปรโมชั่นน่าสนใจอยู่นะ
💙 อ่านออนไลน์ จ่ายถูกกว่า -
สำหรับสัตวแพทย์ท่านที่สมัครสมาชิกแบบอ่านออนไลน์ (ไม่รับหนังสือ) จ่ายเพียง 1,500 บาท/ปี เท่านั้น และยังสามารถทำ CE online ในเว็ปไซต์ได้ตามปกติ
💙 อ่านจากเล่ม เน้นสะสม -
สำหรับท่านที่สมัคร/ต่ออายุสมาชิกแบบรับหนังสือ (สามารถใช้งานเว็ปไซต์และทำ CE online ได้ด้วย)
📍 ได้ทำ CE online มากกว่า 40 คะแนน/ปี
📍 ดาวโหลด E-book ไปอ่านได้
📍 ใช้งานเว็ปไซต์ได้เต็มรูปแบบ
📍 E-learning online course
ดูรายละเอียดแพคเกจ
และสมัครออนไลน์ด้วยตัวเองได้ที่ https://www.readvpn.com/register
หรือสอบถามเพิ่มเติม
add Line :

บอกเลยว่าห้ามพลาด !!!ขอเรียนเชิญ คุณหมอทุกท่าน รับชม Online Seminar ครั้งที่ 4 จัดโดย SmartHeart Gold Veterinary Diet คร...
13/12/2024

บอกเลยว่าห้ามพลาด !!!
ขอเรียนเชิญ คุณหมอทุกท่าน รับชม Online Seminar ครั้งที่ 4 จัดโดย SmartHeart Gold Veterinary Diet ครั้งนี้ได้รับเกียรติจากวิทยากร 2 ท่าน ดังนี้เลย
ท่านที่ 1 สพ.ญ.ฐิตา เตโชฬาร สัตวแพทย์ประจำ คลินิกหัวใจ ระบบขับถ่ายปัสสาวะ และโรคเบาหวาน โรงพยาบาลสัตว์กรุงเทพฯ คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จะมาบรรยายในหัวข้อ Metabolism and Nutrition support for critically ill patients
ท่านที่ 2 อ.สพ.ญ.ดร.กฤชพร กระดังงา อ.ประจำภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จะมาบรรยายในหัวข้อ Nutritional support using feeding tube for critically ill patients
คุณหมอท่านไหนสนใจสามารถรับชมสัมมนาครั้งนี้ผ่านทาง Live กันได้ที่หน้าเพจ SmartHeart Gold และ เพจ VPN Magazine นี้เลย วันจันทร์ ที่ 16 ธันวาคม ตั้งแต่เวลา 9.00 - 12.00 น.

🎉 ขอแสดงความยินดีกับคุณหมอผู้โชคดี 🎉ที่ได้รับรางวัลจากกิจกรรมชิงรางวัลช่วงต้นสัมมนา กับสุดยอด Webinar ส่งท้ายปี“Cat Expe...
13/12/2024

🎉 ขอแสดงความยินดีกับคุณหมอผู้โชคดี 🎉
ที่ได้รับรางวัลจากกิจกรรมชิงรางวัลช่วงต้นสัมมนา กับสุดยอด Webinar ส่งท้ายปี
“Cat Expert: The Series” By Zoetis🧡
🐱EP.3: ภัยเงียบในแมว อัปเดตอุบัติการณ์พยาธิที่พบบ่อยและการดื้อยาปฏิชีวนะที่ต้องระวัง
ยืนยันสิทธิ์ผ่านทาง inbox VPN magazine ภายในวันที่ 20 ธ.ค. นี้เท่านั้น❗️
มิฉะนั้นทางบริษัทฯ ถือว่าท่านสละสิทธิ์ในการรับของรางวัล


#มั่นใจใช้โซเอทิส

การปรับขนาดยาในสัตว์แรกเกิดต้องทำอย่างไรเนื่องจากขาดข้อมูลทำให้การปรับขนาดยาในลูกสัตว์นั้นมีความท้าทาย ดังที่กล่าวข้างต้...
12/12/2024

การปรับขนาดยาในสัตว์แรกเกิดต้องทำอย่างไร
เนื่องจากขาดข้อมูลทำให้การปรับขนาดยาในลูกสัตว์นั้นมีความท้าทาย ดังที่กล่าวข้างต้นอาจจะมีปัจจัยบางอย่างในลูกสัตว์แรกเกิดที่นำไปสู่ความจำเป็นในการใช้ขนาดยาที่สูงขึ้น (เช่น จากกรณีปริมาณการกระจายตัวที่มากขึ้น; larger volume of distribution) หรือในทางกลับกันคือมีการใช้ขนาดยาที่ต่ำลงหรือการให้ยาที่ยาวนานขึ้น (เช่น จากกรณีการกำจัดที่ล่าช้า; delayed clearance) ทั้งนี้เนื่องจากกระบวนการเผาผลาญและการกำจัดของเสียออกจากร่างกายเป็นสิ่งที่ยังคาดเดาไม่ได้ในลูกสัตว์แรกเกิด ทั้งยังมีความเปลี่ยนแปลงอย่างมากในช่วงเดือนแรกของชีวิตที่แตกต่างไปในแต่ละตัว อีกทั้งยังไม่มีคำแนะนำที่มีหลักฐานรองรับในการใช้ยาสำหรับลูกสุนัขและลูกแมว การคาดการณ์ทางเภสัชจลนศาสตร์จึงเป็นเรื่องยาก
สำหรับยาในกลุ่มที่ละลายน้ำได้สูง (water-soluble) และมีอัตราส่วนระหว่างขนาดยาที่ปลอดภัยกับขนาดยาที่อาจเป็นพิษกว้าง (wide margins of safety) (เช่น beta-lactams) ในอดีตมีการศึกษาที่แนะนำให้ใช้ยาขนาดเดียวกับสัตว์โตแต่ให้ลดปริมาณลง ซึ่งก็ยังไม่มีหลักฐานรองรับและควรหลีกเลี่ยง โดยตารางที่ 1 ได้ระบุยาต้านจุลชีพที่พบบ่อยและแนะนำขนาดยาที่น่าจะใช้ในลูกสัตว์ เมื่อสุนัขและแมวมีอายุ 6 สัปดาห์ขึ้นไป
สำหรับยา Amikacin มีแนวทางการใช้ในลูกสัตว์แรกเกิดดังนี้
ขนาดยา : 10-15 (cats) or 15-30 (dogs) mg/kg IV/SC/IM q24h
ข้อควรระวัง
- มีการกระจายตัวของยามากกว่าสัตว์โตเต็มวัย(great distribution)
- ลดอัตราการขจัดออกของไต (reduce renal elimination)
- มีความเสี่ยงต่อการเกิดความเป็นพิษที่หูและไต (oto- and nephro-toxicity)
- ควรพิจารณาขยายช่วงเวลาในการให้ยาสำหรับลูกสุนัขและลูกแมวแรกเกิด
- แนะนำให้ติดตามระดับยา (dosage interval) ที่ใช้ในการรักษา
- ควรเก็บไว้สำหรับการติดเชื้อที่รุนแรง
- คำแนะนำในการให้ยาค่อนข้างหลากหลายในเด็กแรกเกิด (human infant)
นี่คือคอลัมน์ Glimpse คอลัมน์ใหม่จากทาง VPN ที่จะพาไปแอบส่องไฮไลท์ของบทความต่างๆ โดยสามารถอ่านบทความฉบับเต็มได้ที่ : https://readvpn.com/article/detail/2309
บทความโดย : สพ.ญ. มินตราพร คงเตี้ย

โรคเยื่อบุตาอักเสบ (conjunctivitis) หมายถึง ภาวะการอักเสบของเยื่อบุตา (conjunctiva) ซึ่งเป็นเยื่อเมือก (mucous membrane)...
11/12/2024

โรคเยื่อบุตาอักเสบ (conjunctivitis) หมายถึง ภาวะการอักเสบของเยื่อบุตา (conjunctiva) ซึ่งเป็นเยื่อเมือก (mucous membrane) ที่ครอบคลุมด้านหลังของหนังตา (eyelid) และด้านบนของเปลือกตา (sclera) รวมถึงบริเวณหนังตาที่สาม (nictitating membrane) โครงสร้างของเยื่อบุตาประกอบด้วยเซลล์แบบ non-keratinized stratified epithelium และชั้นเยื่อเกี่ยวพัน (substantia propria) ซึ่งมีเซลล์ goblet ที่ทำหน้าที่ผลิตสาร mucin สำหรับระบบน้ำตา (precorneal tear film) เพื่อช่วยให้ดวงตาชุ่มชื้นและหล่อลื่นพื้นผิวตา นอกจากนี้เยื่อบุตายังประกอบไปด้วยหลอดเลือด เส้นประสาท และเนื้อเยื่อน้ำเหลือง (lymphoid tissue) ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกันและการซ่อมแซมบาดแผลของกระจกตา
อาการทางคลินิก (Clinical Signs)
อาการของโรคเยื่อบุตาอักเสบในสุนัขและแมวมักจะไม่จำเพาะเจาะจง จำเป็นต้องอาศัยการตรวจประเมินดวงตา และโครงสร้างรอบดวงตา รวมถึงการตรวจโรคทางระบบอื่น ๆ ของร่างกายด้วย เพื่อช่วยประกอบการวินิจฉัย โดยอาการหลัก ๆ ที่สามารถสังเกตพบได้ เช่น
• น้ำตาไหลมาก (epiphora): น้ำตาไหลจากการผลิตน้ำตาที่มากเกินไปหรือจากการระบายที่ไม่เพียงพอ
• เยื่อบุตาบวม (chemosis): เกิดจากการเพิ่มการซึมผ่านของหลอดเลือด ทำให้เยื่อบุตาบวมขึ้น
• เยื่อบุตามีสีแดง (conjunctival hyperemia): เป็นผลจากการขยายตัวของหลอดเลือด
• อาการคันและระคายเคืองตา (ocular discomfort): ส่งผลให้สัตว์แสดงพฤติกรรมถูหรือขยี้ตา
• การเพิ่มของเนื้อเยื่อเยื่อบุตา (conjunctival tissue proliferation): บ่งบอกถึงการอักเสบแบบเรื้อรัง แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบหลัก คือ
- Lymphoid proliferation (follicular conjunctivitis): พบตุ่มใสขนาดเล็กนูนขึ้นบริเวณด้านหลังของหนังตาที่สาม
- Epithelial hyperplasia/keratinization: พบตุ่มขุ่นหรือชมพูแดงยกตัวหนาขึ้น
• แผลที่เยื่อบุผิว (epithelial ulceration) : พบในกรณีที่มีการอักเสบรุนแรงและมีการทำลายชั้นผิวเยื่อบุตา
• เลือดออก (hemorrhage) : พบในกรณีที่มีการกระแทกหรือมีโรคที่เกี่ยวข้องกับการแข็งตัวของเลือด รวมถึงการอักเสบของหลอดเลือด
สาเหตุของโรคและการจัดการ (Etiologies & Management)
1. สาเหตุที่ไม่ติดเชื้อ (Non-infectious causes)
1.1. Allergic conjunctivitis
เกิดจากปฏิกิริยาภูมิแพ้แบบ type-1 hypersensitivity โดยมักพบอาการทั้งสองข้างของตาและอาจมีอาการทางผิวหนังร่วมด้วย แบ่งเป็น 3 ชนิด คือ
• Atopic: มักพบร่วมกับโรคภูมิแพ้ผิวหนัง (atopic dermatitis) การรักษาทำได้ด้วยการฉีดยาปรับภูมิคุ้มกัน (allergen immunotherapy) ร่วมกับหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ และใช้ยาสเตียรอยด์หยอดตาเพื่อคุมอาการในระยะสั้น ประมาณ 1-2 สัปดาห์ สำหรับกรณีเรื้อรังอาจใช้ cyclosporin หรือ tacrolimus หยอดตา ร่วมกับการใช้ยาสเตียรอยด์หยอดตาเป็นช่วง ๆ แทน (pulse therapy topical corticosteroid)
• Drug & vaccine reactions: สาเหตุจากการแพ้ยาหยอดตา เช่น neomycin, carbonic anhydrase inhibitors, pilocarpine, idoxuridine, trifluridine เป็นต้น หรือจากการแพ้ยาหรือวัคซีนทางระบบ โดยมักพบอาการรุนแรงหรือมีอาการอักเสบที่เปลือกตาร่วมด้วย การรักษาให้หยุดยาที่แพ้นาน 1-2 สัปดาห์และคุมการอักเสบด้วยยาสเตียรอยด์หยอดตา
• Insect envenomation: เกิดจากพิษแมลงกัดหรือต่อย แนะนำให้ล้างตาด้วยน้ำเกลือ ฉีดยาแก้แพ้ (antihistamines) และ short-acting corticosteroid ร่วมกับใช้ยาสเตียรอยด์หยอดตาคุมอาการ
1.2. Frictional irritant / contact conjunctivitis
เกิดจากการระคายเคืองทางกายภาพจากสิ่งแปลกปลอม (foreign bodies) ผิวหนังเจริญผิดที่ (dermoid) หรือความผิดปกติของหนังตาและขนตา เป็นต้น การรักษาคือเอาสิ่งแปลกปลอมนั้นออกหรือผ่าตัดแก้ไขภาวะผิดปกติ ให้ใช้น้ำตาเทียมช่วยหล่อลื่นและรักษาความชุ่มชื้นของผิวดวงตา และใช้ยาปฏิชีวนะหยอดตาเพื่อคุมการติดเชื้อแทรกซ้อนร่วมด้วย
1.3. Immune-mediated conjunctivitis
เป็นกลุ่มโรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างปฏิกิริยาต่อต้านเนื้อเยื่อตัวเอง ได้แก่
• Episcleritis: เป็นการอักเสบแบบ granulomatous inflammation ทำให้เยื่อบุตาหนาตัวและแดง อาจพบอาการที่กระจกตาใกล้เคียงด้วย วินิจฉัยโดยการตัดชิ้นเนื้อ (biopsy) และคุมอาการด้วยสเตียรอยด์, cyclosporin หรือ tacrolimus หยอดตา หากมีอาการรุนแรงหรือไม่ตอบสนอง อาจฉีด triamcinolone 4-8 มิลลิกรัม เข้าใต้เยื่อบุตาตำแหน่งที่มีการอักเสบ (single subconjunctival corticosteroid injection) หรือร่วมกับให้ยากดภูมิแบบกิน
• Atypical pannus/plasmoma: เกิดจากการแทรกซึมของเซลล์เม็ดเลือดขาว lymphocytes และ plasma cells และมีการเพิ่มจำนวนของเนื้อเยื่อเส้นใยและหลอดเลือด ทำให้พบลักษณะเยื่อบุของ nictitating membrane หนาตัวขึ้น มักพบในสุนัขพันธุ์ German Shepherd, Greyhound, Belgian Sheepdog
• Eosinophilic (nodular granulomatous Episcleritis): มักพบในแมว ซึ่งอาจสัมพันธ์กับการติดเชือไวรัส FHV-1 จะมีลักษณะตุ่มสีครีมหรือแผ่นขรุขระสีชมพูขึ้นบนเยื่อบุตาและกระจกตา โดยพบเซลล์ eosinophils และ mast cells ร่วมกัน
• Lipogranulomatous conjunctivitis: มักพบในแมว จะพบลักษณะตุ่มสีขาวขึ้นบริเวณ palpebral conjunctiva และขอบของเปลือกตา การรักษาทำได้โดยการผ่าตัดออก หากมีอาการระคายเคือง
• Epitheliotropic mastocytic conjunctivitis: มักพบในแมว จะพบการอักเสบแบบหนาตัวหรือเป็นก้อนขนาดเล็กจาก mast cells โดยที่ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด
1.4. Radiation
เป็นผลจากการฉายรังสีรักษาเนื้องอกใบหน้าหรือโพรงจมูก ซึ่งมักไม่ค่อยตอบสนองต่อการรักษาเนื่องจากรังสีไปทำลายเซลล์ชั้นต้นกำเนิด (basal stem cell) ที่อยู่ในเยื่อบุตา และอาจพบภาวะตาแห้งแทรกซ้อนร่วมด้วย การรักษาจะเน้นคุมอาการอักเสบและเพิ่มความชุ่มชื้นของดวงตาเป็นหลัก
1.5. Traumatic
เกิดจากการกระแทกหรือการเจาะทะลุ มักพบอาการรุนแรงหรือมีเลือดออกร่วมด้วย การรักษาให้ทำการประคบเย็นและใช้ยาปฏิชีวนะหยอดตาเพื่อป้องกันการติดเชื้อ ร่วมกับกินยาลดอักเสบและยาปฏิชีวนะทางระบบ หากกรณีมีการเจาะทะลุหรือเป็นแผลลึกอาจต้องทำการผ่าตัด
1.6. Associated with tear-film disorders
• Keratoconjunctivitis sicca (KCS): เกิดจากการผลิตน้ำตาลดลงหรือคุณภาพน้ำตาไม่ดี ให้ทำการรักษาด้วยยากลุ่ม immunomodulators เช่น cyclosporin หรือ tacrolimus หยอดทุก 8-12 ชั่วโมง หรืออาจใช้ร่วมกันในกรณีที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบปกติ (refractory cases)
• Neurogenic KCS: เกิดจากระบบประสาทที่ควบคุมต่อมน้ำตาผิดปกติ สามารถรักษาด้วยยากลุ่มcholinergics เช่น pilocarpine แบบหยอดตา (0.125-0.25%) ทุก 12 ชั่วโมง หรือรูปแบบกิน (2%) ปริมาณ 1 หยดต่อน้ำหนัก 10 กิโลกรัม ทุก 12 ชั่วโมง หากมีอาการข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน น้ำลายไหล ท้องเสีย หรือเบื่ออาหาร ให้ลดปริมาณยาลง
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของบทความเท่านั้น อ่านบทความฉบับเต็มพร้อมหัวข้อสาเหตุจากการติดเชื้อและการเลือกใช้ยาต่างๆ และข้อควรระวังต่อได้ที่ : https://readvpn.com/article/detail/2310
บทความโดย : น.สพ.สุธาวี สุขสิน
สำหรับคุณหมอสัตวแพทย์ที่ยังไม่ได้เป็นสมาชิก
ตอนนี้ทาง VPN มีโปรโมชั่นน่าสนใจอยู่นะ
💙 อ่านออนไลน์ จ่ายถูกกว่า -
สำหรับสัตวแพทย์ท่านที่สมัครสมาชิกแบบอ่านออนไลน์ (ไม่รับหนังสือ) จ่ายเพียง 1,500 บาท/ปี เท่านั้น และยังสามารถทำ CE online ในเว็ปไซต์ได้ตามปกติ
💙 อ่านจากเล่ม เน้นสะสม -
สำหรับท่านที่สมัคร/ต่ออายุสมาชิกแบบรับหนังสือ (สามารถใช้งานเว็ปไซต์และทำ CE online ได้ด้วย)
📍 ได้ทำ CE online มากกว่า 40 คะแนน/ปี
📍 ดาวโหลด E-book ไปอ่านได้
📍 ใช้งานเว็ปไซต์ได้เต็มรูปแบบ
📍 E-learning online course
ดูรายละเอียดแพคเกจ
และสมัครออนไลน์ด้วยตัวเองได้ที่ https://www.readvpn.com/register
หรือสอบถามเพิ่มเติม
add Line :

เป็นที่ทราบกันดีว่าลูกสุนัขและลูกแมวนั้นไม่เหมือนกับสุนัขและแมวขนาดเล็ก ลูกสุนัขและแมวเกิดใหม่เป็นช่วงเวลาที่มีพัฒนาการแ...
10/12/2024

เป็นที่ทราบกันดีว่าลูกสุนัขและลูกแมวนั้นไม่เหมือนกับสุนัขและแมวขนาดเล็ก ลูกสุนัขและแมวเกิดใหม่เป็นช่วงเวลาที่มีพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงทางร่างกายแต่รวมไปถึงทางด้านเภสัชจลนศาสตร์ที่แตกต่างไปจากสุนัขและแมวที่โตเต็มวัยแล้ว จึงมีโอกาสที่จะเกิดความเสี่ยงหรือผลข้างเคียงที่รุนแรงได้มากกว่า โดยการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพในช่วงต้นอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพและความปลอดภัยต่อการใช้ยาต้านจุลชีพ ในปัจจุบันข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ยาต้านจุลชีพในลูกสัตว์แรกเกิดสายพันธุ์ต่าง ๆ มีอยู่น้อย ทั้งการทดลองทางคลินิกเกี่ยวกับการใช้ยาต้านจุลชีพ รวมถึงข้อมูลที่ว่าการให้ยาต้านจุลชีพเองนั้นมีประโยชน์จริงหรือไม่ โดยปัจจัยเหล่านี้ทำให้การพัฒนาแผนการรักษาเพื่อเพิ่มประโยชน์ทางการรักษาให้มากที่สุดและลดความเสี่ยงให้น้อยที่สุดนั้นมีความยากมากขึ้นไปอีก แล้วยังต้องค้นหาขอบเขตของความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และถึงแม้เมื่อทราบความเสี่ยงแล้วก็ยังต้องพยายามทำความเข้าใจ ภายใต้ข้อมูลที่จำกัดเกี่ยวกับอุบัติการณ์และผลข้างเคียงของการใช้ยาในระยะยาว
ช่วงเวลาแรกเกิด (neonatal period) เป็นช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านจุลชีววิทยาอย่างสูงและมีความหลากหลาย ซึ่งการพัฒนาของจุลินทรีย์ในร่างกายมีความสำคัญและค่อนข้างซับซ้อน โดยการพิจารณาเกี่ยวกับ "ผลข้างเคียง" ของการใช้ยาต้านจุลชีพมักจะเน้นไปที่ปฏิกิริยาระหว่างยากับสัตว์ป่วย จะพิจารณาถึงปฏิกิริยาระหว่างยากับจุลินทรีย์ในร่างกายน้อยมาก ซึ่งปัจจุบันนั้นผลกระทบของยาต้านจุลชีพต่อเชื้อจุลินทรีย์ที่มีอยู่ในร่างกายได้รับความสนใจมากขึ้น แต่ด้วยข้อมูลที่มีอยู่ไม่มากทำให้การประเมินประโยชน์ของการใช้ ผลกระทบของค่าใช้จ่าย รวมถึงการพัฒนาสูตรการรักษาที่มีหลักฐานรองรับจึงนับเป็นความท้าทายอย่างยิ่งในการจัดการโรคติดเชื้อในลูกสัตว์แรกเกิด
ยาปฏิชีวนะ (antibiotics) และยาต้านจุลชีพ (antimicrobials) เป็นกลุ่มยาที่มีความสัมพันธ์กัน แต่มีความแตกต่างในด้านคำจำกัดความและการใช้งาน ดังนี้
ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics) หมายถึง ยาที่ใช้ในการฆ่าหรือยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย (bacteria) โดยเฉพาะ ยาปฏิชีวนะจึงมีประสิทธิภาพต่อแบคทีเรียเท่านั้น
ยาต้านจุลชีพ (Antimicrobials) เป็นคำที่กว้างกว่าและหมายถึงยาที่สามารถฆ่าหรือยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลชีพทั้งหมด รวมถึงแบคทีเรีย (bacteria), ไวรัส (viruses), รา (fungi), และโพรโทซัว (protozoa) ยาต้านจุลชีพจึงรวมถึงยาปฏิชีวนะด้วย
เภสัชจลนศาสตร์ (Pharmacokinetic) ของยาต้านจุลชีพในลูกสัตว์แรกเกิด
เภสัชจลนศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการที่ร่างกายทำต่อยาหลังจากที่ได้รับยา ไม่ว่าจะเป็นการดูดซึม(absorption), การกระจายตัว (distribution), การเผาผลาญ (metabolism) และการขจัดออกจากร่างกาย (elimination) ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ทั้งหมดอาจแตกต่างกันในสัตว์แรกเกิดและสัตว์โตเต็มวัย และยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอด โดยผลกระทบต่อคุณสมบัติทางเภสัชจลนศาสตร์ เช่น ค่าครึ่งชีวิต (half-life), ความสามารถในการดูดซึมของยาเข้าสู่กระแสเลือด(bioavailability) และปริมาตรการกระจายตัวของยา (volume of distribution) สามารถส่งผลต่อประสิทธิภาพ รวมถึงความเสี่ยงจากเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา
หลังจากที่ลูกสัตว์ได้รับยา ตัวยาต้านจุลชีพจะถูกดูดซึมเข้าสู่ระบบไหลเวียนเลือด ซึ่งกระบวนการเหล่านี้เป็นเรื่องที่คาดเดาได้ยากและมีความแตกต่างกัน อายุเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อความสามารถในการดูดซึมยากินในลูกสัตว์ ซึ่งในช่วง 24 ชั่วโมงแรกของชีวิต การดูดซึมอาจสูงมากจนส่งผลให้ความสามารถในการออกฤทธิ์มากกว่าที่คาดไว้และอาจมีฤทธิ์ที่ไม่พึงประสงค์ ในลูกสัตว์แรกเกิดจึงควรหลีกเลี่ยงยาที่อาจเป็นพิษและมีการดูดซึมโดยไม่ได้ตั้งใจ (เช่น neomycin) รวมทั้งคำนึงถึงปฏิกิริยาระหว่างยาและองค์ประกอบในน้ำนมที่อาจส่งผลต่อการดูดซึม หรือยาต้านจุลชีพที่ใช้นั้นสามารถให้ในขณะท้องว่าได้หรือไม่ โดยในลูกสัตว์จะพบว่ากระบวนการ slow gastric emptying ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิด absorption หรือการดูดซึมช้าลง แต่จะมี bioavailabilityเพิ่มขึ้น หรือก็คือจะยิ่งไปเพิ่มปริมาณของยาที่เข้าสู่กระแสเลือด จากการที่มีอาหารคงอยู่ในกระเพาะและมีการสัมผัสกับเยื่อบุยาวนานมากกว่าในสัตว์โตเต็มวัย
โดยทั่วไปแล้วลูกสัตว์แรกเกิดมีความเป็นกรดในกระเพาะอาหารสูงทำให้ลดความสามารถในการดูดซึมของยาที่มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน เช่น ยาในกลุ่ม fluoroquinolones มีการศึกษาหนึ่งรายงานความล้มเหลวในลูกแมวอายุ 6-8 สัปดาห์ที่กินยา enrofloxacin ในส่วนของการสร้าง therapeutic drug levels (ระดับช่วงยาที่ให้ประสิทธิผลในการรักษา) อย่างไรก็ดีเนื่องจากข้อมูลเกี่ยวกับยาที่ใช้ทั่วไปในลูกสุนัขและลูกแมวมีน้อย ก็อาจจะมีปัจจัยอื่นที่ส่งผลเพิ่มหรือลดความสามารถของ oral bioavailability ในช่วงวัยนี้ได้เช่นกัน
ส่วนวิธีการให้ยาใน route อื่น ๆ เช่น การให้ผ่านทาง gastric tube อาจจำเป็นสำหรับลูกสุนัขและลูกแมวที่อาการคงที่และระบบการเคลื่อนตัวของทางเดินอาการ (gastrointestinal motility) ปกติดี แต่ไม่สามารถป้อนยาทางปากได้, การให้ยาผ่านทางใต้ผิวหนัง (subcutaneous route) มีแนวโน้มที่จะให้ผลของระดับยาใกล้เคียงกับการให้ทางหลอดเลือดดำ (intravenous route) และทางปาก (oral route) แต่พบได้บ่อยครั้งว่า ภาวะแห้งน้ำและการไหลเวียนที่ไม่เพียงพออาจส่งผลต่อการให้ยาวิธีนี้ และสุดท้ายคือการให้ยาผ่านกระดูก (intraosseous route) ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับยาบางชนิดเช่นกัน
หลังจากการดูดซึม ยาต้านจุลชีพจะกระจายตัวไปยังเนื้อเยื่อต่าง ๆ ผ่านทางซีรัม โดยเราจะพบว่าในลูกสัตว์แรกเกิด มีปริมาณของเหลวนอกเซลล์ หรือ extracellular fluid จำนวนมาก ซึ่งอาจสูงเป็นสองเท่าของสัตว์ที่โตเต็มวัยแล้ว และประกอบกับการที่ลูกสัตว์มีเนื้อเยื่อไขมัน (adipose tissue) และกล้ามเนื้อ (muscle) น้อย ส่งผลให้การกระจายตัวของยาที่ละลายน้ำ (water soluble drugs) สูงขึ้น เช่น ยาในกลุ่ม penicillins, cephalosporins, aminoglycosides ในส่วนของระดับความเข้มข้นของโปรตีนในซีรัมและความสามารถในการจับกับโปรตีนที่ต่ำในลูกสัตว์แรกเกิด ทำให้ไปเพิ่มการออกฤทธิ์ของยาในกลุ่มที่เป็น highly protein-bound compounds (เช่น ยา cefovecin) ซึ่งอาจส่งผลให้อัตราการขจัดออก (elimination) มีมากขึ้นตามไปด้วย โดยระดับการออกฤทธิ์ของยาต้านจุลชีพ ณ ตำแหน่งของโรคเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพในการออกฤทธิ์ของยาต้านเชื้อจุลชีพเช่นกัน ดังนั้นสัตวแพทย์จึงควรต้องตระหนักถึงการเลือกใช้ปริมาณยาที่เหมาะสม เพิ่มลดไปตามแต่ชนิดและอายุของสัตว์แต่ละตัว
อวัยวะภายในอย่างตับและไตเองก็มีบทบาทสำคัญต่อกระบวนการเภสัชจลนศาสตร์ของร่างกาย อวัยวะทั้งคู่จะมีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปตามการเติบโตของร่างกาย ในส่วนของตับนั้น เราจะพบว่าระดับเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการเมตาบอลิซึมในตับที่น้อยลงส่งผลกระทบต่อระบบเมตาบอลิซึมของร่างกายโดยเฉพาะในช่วง 4 สัปดาห์แรกของชีวิต และในส่วนของไตเองนั้น ก็เป็นอวัยวะที่สำคัญในการขจัดออกของยาหลายชนิด โดย renal excretion หรือกระบวนการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายผ่านทางไต ได้รับผลกระทบโดยตรงจาก glomerular filtration rate (GFR) หรืออัตราการกรองของไต และ renal tubular transport mechanisms หรือกระบวนการที่ใช้ในการขนส่งสารต่าง ๆ ผ่านท่อไต ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการจัดการของเสียและการควบคุมสมดุลสารน้ำและอิเล็กโทรไลต์ในร่างกาย
การทำงานของตับและไตในลูกสัตว์แรกเกิดมีแนวโน้มที่พัฒนาได้เต็มที่ใกล้เคียงกับสัตว์โตเต็มวัยในช่วงอายุประมาณ 4-6 สัปดาห์ ดังนั้นก่อนที่จะถึงช่วงวัยดังกล่าว ควรระมัดระวังการใช้ยาบางกลุ่ม เช่น chloramphenicol ซึ่งอาศัยการทำงานของตับและมีอัตราส่วนระหว่างขนาดยาที่ปลอดภัยกับขนาดยาที่อาจเป็นพิษแคบ (narrow margins of safety) เท่ากับว่ายิ่งมีความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงหรือความเป็นพิษขณะใช้ยาสูงขึ้นไปอีก ตัวยา enrofloxacin เองก็มีค่าครึ่งชีวิตในลูกสุนัขอายุ 2 สัปดาห์, 6 สัปดาห์ และ 8 สัปดาห์ สั้นกว่าสัตว์โตเต็มวัย เพราะเมื่อมีอัตราการกำจัดที่สูงกว่าส่งผลให้มีความเข้มข้นของยาสูงสุดที่ต่ำกว่า
การปรับขนาดยาในสัตว์แรกเกิด (Dosing Adjustments for Neonates)
เนื่องจากขาดข้อมูลทำให้การปรับขนาดยาในลูกสัตว์นั้นมีความท้าทาย ดังที่กล่าวข้างต้นอาจจะมีปัจจัยบางอย่างในลูกสัตว์แรกเกิดที่นำไปสู่ความจำเป็นในการใช้ขนาดยาที่สูงขึ้น (เช่น จากกรณีปริมาณการกระจายตัวที่มากขึ้น; larger volume of distribution) หรือในทางกลับกันคือมีการใช้ขนาดยาที่ต่ำลงหรือการให้ยาที่ยาวนานขึ้น (เช่น จากกรณีการกำจัดที่ล่าช้า; delayed clearance) ทั้งนี้เนื่องจากกระบวนการเผาผลาญและการกำจัดของเสียออกจากร่างกายเป็นสิ่งที่ยังคาดเดาไม่ได้ในลูกสัตว์แรกเกิด ทั้งยังมีความเปลี่ยนแปลงอย่างมากในช่วงเดือนแรกของชีวิตที่แตกต่างไปในแต่ละตัว อีกทั้งยังไม่มีคำแนะนำที่มีหลักฐานรองรับในการใช้ยาสำหรับลูกสุนัขและลูกแมว การคาดการณ์ทางเภสัชจลนศาสตร์จึงเป็นเรื่องยาก
สำหรับยาในกลุ่มที่ละลายน้ำได้สูง (water-soluble) และมีอัตราส่วนระหว่างขนาดยาที่ปลอดภัยกับขนาดยาที่อาจเป็นพิษกว้าง (wide margins of safety) (เช่น beta-lactams) ในอดีตมีการศึกษาที่แนะนำให้ใช้ยาขนาดเดียวกับสัตว์โตแต่ให้ลดปริมาณลง ซึ่งก็ยังไม่มีหลักฐานรองรับและควรหลีกเลี่ยง โดยตารางที่ 1 ได้ระบุยาต้านจุลชีพที่พบบ่อยและแนะนำขนาดยาที่น่าจะใช้ในลูกสัตว์ เมื่อสุนัขและแมวมีอายุ 6 สัปดาห์ขึ้นไป
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของบทความเท่านั้น อ่านบทความฉบับเต็มพร้อมหัวข้อเรื่องการใช้ยาต้านจุลชีพกลุ่มต่างๆ ในลูกสุนัขและลูกแมว พร้อมตารางสรุปต่อได้ที่ : https://readvpn.com/article/detail/2309
บทความโดย : สพ.ญ. มินตราพร คงเตี้ย
สำหรับคุณหมอสัตวแพทย์ที่ยังไม่ได้เป็นสมาชิก
ตอนนี้ทาง VPN มีโปรโมชั่นน่าสนใจอยู่นะ
💙 อ่านออนไลน์ จ่ายถูกกว่า -
สำหรับสัตวแพทย์ท่านที่สมัครสมาชิกแบบอ่านออนไลน์ (ไม่รับหนังสือ) จ่ายเพียง 1,500 บาท/ปี เท่านั้น และยังสามารถทำ CE online ในเว็ปไซต์ได้ตามปกติ
💙 อ่านจากเล่ม เน้นสะสม -
สำหรับท่านที่สมัคร/ต่ออายุสมาชิกแบบรับหนังสือ (สามารถใช้งานเว็ปไซต์และทำ CE online ได้ด้วย)
📍 ได้ทำ CE online มากกว่า 40 คะแนน/ปี
📍 ดาวโหลด E-book ไปอ่านได้
📍 ใช้งานเว็ปไซต์ได้เต็มรูปแบบ
📍 E-learning online course
ดูรายละเอียดแพคเกจ
และสมัครออนไลน์ด้วยตัวเองได้ที่ https://www.readvpn.com/register
หรือสอบถามเพิ่มเติม
add Line :

เพราะการใช้ยาอย่างถูกต้อง...คือสิ่งสำคัญของสัตวแพทย์ต้อนรับเดือนสุดท้ายของปี กับ VPN ฉบับ 267 ที่จะมาส่งท้ายปีด้วยหัวข้อ...
09/12/2024

เพราะการใช้ยาอย่างถูกต้อง...คือสิ่งสำคัญของสัตวแพทย์
ต้อนรับเดือนสุดท้ายของปี กับ VPN ฉบับ 267 ที่จะมาส่งท้ายปีด้วยหัวข้อใกล้ตัวคุณหมอทุกคนอย่าง "Pharmacology" ที่จะมาอัปเดตการใช้ยาในแต่ละระบบที่น่าสนใจ รวมไปถึงแนวทางการใช้ยาใหม่ๆ ในวงการสัตวแพทย์ที่น่าสนใจมากๆ ว่าแล้วก็แอบไปดูไฮไลท์ในเล่มกันได้เลย
1. การใช้ยาต้านจุลชีพในลูกสุนัขและแมว : มารู้จักแนวทางการใช้ยาปฏิชีวนะในลูกสุนัและและลูกแมว ชนิดยาที่ควรใช้ และข้อควรระวังที่ควรทราบ โดย สพ.ญ.มินตราพร คงเตี้ย
2. แนวทางการใช้ยาและการดูแลรักษาโรคเยื่อบุตาอักเสบในสุนัขและแมว (Drugs used to treat conjunctivitis in Dogs and Cats) : เจาะลึกโรคเยื่อบุตาอักเสบกันตั้งแต่สาเหตุ รวมไปถึงแนวทางการเลือกใช้ยาในการรักษาที่เหมาะสม โดย น.สพ.สุธาวี สุขสิน
3. ข้อแนะนำในการบริหารยาสำหรับสุนัขที่ป่วยด้วยภาวะหัวใจล้มเหลว (Recommendations for drug administration in dogs with congestive heart failure) : เมื่อสัตว์ป่วยด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวจะมีวิธีการเลือกใช้ยาแต่ละกลุ่มอย่างไร และควรต้องปรับยาอย่างไรบ้าง มาหาคำตอบพร้อมกันได้เลย โดย น.สพ.ศิวายุ รัตนะกนกชัย
4. การใช้ยาทางจิตเวชกับการจัดการปัญหาพฤติกรรมสัตว์ในทางคลินิก : มาอัปเดตวิธีการใช้ยาทางจิตเวชในสัตว์เลี้ยงสำหรับการจัดการปัญหาพฤติกรรมที่ยังคงเป็นเรื่องใหม่ในไทยกัน โดย อ.ดร.น.สพ.ปรารมภ์ ศรีภวัศราคม
5. Veterinary Clinical Pharmacology : Bridging Science and Practice : รู้จักศาสตร์ที่เจาะลึกความสัมพันธ์ระหว่างยากับร่างกายสัตว์และวิธีการประยุกต์ทางคลินิกที่สัตวแพทย์ควรทราบ โดย ผศ.น.สพ.ดร.เจนภพ สว่างเมฆ
6. SGLT2 inhibitor - ยาทางเลือกสำหรับการควบคุมระดับน้ำตาลในกระแสเลือดของแมวที่มีภาวะเบาหวาน : เจาะลึกยาทางเลือกตัวใหม่ที่น่าสนใจพร้อมด้วยแนวทางการใช้และข้อควรระวังที่ควรทราบ โดย อ.น.สพ.ดร.เสลภูมิ ไพเราะ
อ่าน VPN 267 แบบ E-Book ได้ที่นี่ : https://readvpn.com/magazine
สำหรับคุณหมอสัตวแพทย์ที่ยังไม่ได้เป็นสมาชิก
ตอนนี้ทาง VPN มีโปรโมชั่นน่าสนใจอยู่นะ
💙 อ่านออนไลน์ จ่ายถูกกว่า -
สำหรับสัตวแพทย์ท่านที่สมัครสมาชิกแบบอ่านออนไลน์ (ไม่รับหนังสือ) จ่ายเพียง 1,500 บาท/ปี เท่านั้น และยังสามารถทำ CE online ในเว็ปไซต์ได้ตามปกติ
💙 อ่านจากเล่ม เน้นสะสม -
สำหรับท่านที่สมัคร/ต่ออายุสมาชิกแบบรับหนังสือ (สามารถใช้งานเว็ปไซต์และทำ CE online ได้ด้วย)
📍 ได้ทำ CE online มากกว่า 40 คะแนน/ปี
📍 ดาวโหลด E-book ไปอ่านได้
📍 ใช้งานเว็ปไซต์ได้เต็มรูปแบบ
📍 E-learning online course
ดูรายละเอียดแพคเกจ
และสมัครออนไลน์ด้วยตัวเองได้ที่ https://www.readvpn.com/register
หรือสอบถามเพิ่มเติม
add Line :

ตลอดเวลาการทำงานในฐานะสัตวแพทย์ด้านนก มีเจ้าของหลายคนเข้ามาถามว่า “เลี้ยงนกจะเป็นภูมิแพ้ไหม” ส่วนตัวก็ได้แต่ตอบไปว่า “ก็...
07/12/2024

ตลอดเวลาการทำงานในฐานะสัตวแพทย์ด้านนก มีเจ้าของหลายคนเข้ามาถามว่า “เลี้ยงนกจะเป็นภูมิแพ้ไหม” ส่วนตัวก็ได้แต่ตอบไปว่า “ก็แล้วแต่คน เพราะภูมิแพ้เป็นเรื่องเฉพาะส่วนตัว เกิดได้ทุกช่วงอายุ และก็แล้วแต่วิธีการเลี้ยง รวมไปถึงสถานที่เลี้ยงด้วย” ซึ่งเท่าที่เคยทบทวนเอกสารทางการแพทย์ พบว่ามีการตั้งชื่อภาวะนี้เป็นการเฉพาะว่า “โรคเจ้าของฟาร์มนก - Bird fancier's lung (BFL)” ซึ่งจะแสดงอาการหายใจติดขัดเหมือนหืดหอบ ไข้ขึ้น ไอแห้ง น้ำมูกไหล เจ็บตา เจ็บช่องอก หายใจลำบาก ไม่อยากอาหาร น้ำหนักลด อ่อนแรง ไปจนถึงในรายที่ป่วยเรื้อรังจะมีพังผืดในเนื้อเยื่อปอด (progressive pulmonary fibrosis) จนทำให้ออกซิเจนในกระแสเลือด oxygen saturation ต่ำลงเหลือ 70%
โรคเจ้าของฟาร์มนก ถือเป็นหนึ่งในโรคปอดอักเสบจากภูมิคุ้มกันไวเกิน (hypersensitivity pneumonitis หรือ immunologically mediated lung disease) ในคน ซึ่งมักเกิดมาจากการสูดดมสารแพ้จากนก (air borne avian antigen) เข้าไปอย่างต่อเนื่อง โดยโรคนี้ถูกค้นพบมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2508 หรือ ค.ศ.1965 โดยสารที่กระตุ้นให้เกิดอาการแพ้มาจากโปรตีนในอุจจาระของนก (highly antigenic avian proteins excreted in bird droppings) และโปรตีนเคลือบขนนก (waxy proteins covering feathers birds)
เท่าที่มีรายงานถึงนกที่ทำให้เกิดโรคนี้ได้ คือ ไก่งวง (turkeys), ไก่ (chickens), ห่าน (geese), เป็ด (ducks), นกหงส์หยก (budgerigars), นกแก้ว (parrots), นกพิราบ (pigeons), นกเขา (doves), นกแก้ว (lovebirds) และนกคีรีบูน (canaries) ส่วนใหญ่แล้วคนไข้มักไม่ค่อยได้ถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้ ด้วยเพราะอาการมันไปเหมือนอีกหลายโรค และเพียงได้รับยากลุ่ม steroid ก็จะดีขึ้น แต่สักพักก็จะเป็นใหม่อีก วนเช่นนี้ไปหลายปี เพราะแม้จะย้ายนกออกไปจนหมดบ้านแล้ว แต่สารแพ้นี้สามารถคงทนอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานถึง 18 เดือน
ชนิดนกที่ทำให้เกิดโรคปอดอักเสบจากภูมิคุ้มกันไวเกินได้ดี คือ นกพิราบ ด้วยเพราะลักษณะการเลี้ยงและการทำฟาร์มจะอยู่กันอย่างหนาแน่นในพื้นที่เล็ก ๆ เช่น ดาดฟ้าตึกแถว และไม่ได้ทำความสะอาดขี้นกทุกวัน พอเข้าไปในกรงที นกก็กระพือปีกหนี ช่วยพัดฝุ่นละอองทั้งอุจจาระและจากขนให้ลอยฟุ้งในอากาศ พอคนเลี้ยงสูดเข้าไปก่อโรคนี้ได้ ต่อมาก็คือการเลี้ยง “นกแก้วอยู่ในบ้านตลอดเวลา” ซึ่งก็ทำให้เจ้าของใกล้ชิดกับนกมาก จึงสูดดมสารต่าง ๆ ที่ขับออกมาจากนกเข้าไปมากด้วยเช่นกัน ซึ่งภาวะนี้ไม่ได้เป็นกันทุกคนเพราะต้องมีพันธุกรรมที่ไวต่อสารแพ้ (genetic susceptibility) แล้วตามมาด้วยได้รับสารกระตุ้นภูมิแพ้ (antigen exposure) อย่างต่อเนื่อง จึงจะเกิดปัญหานี้ขึ้นได้
การวินิจฉัยส่วนใหญ่จะเริ่มจากการถ่ายภาพทางรังสีวิทยาของช่องอก (chest radiograph) และ computer tomography (CT) เพื่อหารอยโรคและประเมินความรุนแรง จากนั้นก็ตรวจเลือด เพาะเชื้อแบคทีเรียจากเสมหะ หรือแม้กระทั่งต้องทำ bronchoalveolar lavage (BAL) ออกมาเพาะเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา ไวรัส หรือ cytology สุดท้ายก็จะเป็นการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อค้นหา serum specific IgG antibodies ต่อโปรตีนในอุจจาระของนก (highly antigenic avian proteins excreted in bird droppings) และโปรตีนเคลือบขนนก (waxy proteins covering feathers birds) ของนกแต่ละชนิดที่เลี้ยงอยู่ในบ้าน ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าเราจะแพ้นกทุกตัวพร้อมกัน เนื่องจากเคยมีตัวอย่างในประเทศญี่ปุ่น ที่เลี้ยงนกแก้ว African grey parrot และนกหงส์หยกไว้ในบ้านด้วยกัน แต่ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการออกมาว่าเกิดโรคปอดอักเสบจากภูมิคุ้มกันไวเกินจากนกแก้ว African grey parrot เท่านั้น
ในประเทศอังกฤษ มีการเก็บสถิติจากผู้ป่วยปอดอักเสบ พบโรคปอดอักเสบจากภูมิคุ้มกันไวเกินประมาณ 0.5% ของผู้ป่วยทั้งหมด โดยพบในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ แต่ถ้านับเฉพาะผู้ป่วยที่เลี้ยงนกแก้วไว้ในบ้าน ก็จะเพิ่มขึ้นมาเป็น 7.5% ซึ่งก็ยังถือว่าไม่มาก จึงถูกจัดเป็นโรคหายาก
สำหรับในประเทศไทย โอกาสพบโรคนี้มีมากใน “นกพิราบจรจัด” ในที่สาธารณะ เช่น วัด หมู่บ้าน สถานที่ท่องเที่ยว ซึ่งมีการขายอาหารนกเป็นกิจจะลักษณะ เพราะยิ่งทำให้นกมารวมตัวกันมากขึ้น และพอกระพือปีกขึ้นพร้อม ๆ กันก็จะพัดพาสารภูมิแพ้ให้สูดดมไปกระตุ้น hypersensitivity pneumonitis กันได้ง่าย ๆ จึงอยากจะขอเตือนนายสัตวแพทย์ทุกท่านว่าอย่าไปสนับสนุนการเลี้ยงนกพิราบจรจัดที่ที่สาธารณะ ต่อมาก็คือ เจ้าของฟาร์มนกพิราบแข่ง เจ้าของร้านขายนกที่ตลาดค้าสัตว์ เจ้าของฟาร์มนกแก้วขนาดใหญ่ ฯลฯ ซึ่งเป็นหน้าที่ของสัตวแพทย์ที่จะต้องแนะนำให้เจ้าของนกทราบถึงความเสี่ยงนี้
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของบทความเท่านั้น อ่านบทความฉบับเต็มพร้อมภาพประกอบต่อได้ที่ : https://readvpn.com/article/detail/2292
บทความโดย : น.สพ.เกษตร สุเตชะ - คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
สำหรับคุณหมอสัตวแพทย์ที่ยังไม่ได้เป็นสมาชิก
ตอนนี้ทาง VPN มีโปรโมชั่นน่าสนใจอยู่นะ
💙 อ่านออนไลน์ จ่ายถูกกว่า -
สำหรับสัตวแพทย์ท่านที่สมัครสมาชิกแบบอ่านออนไลน์ (ไม่รับหนังสือ) จ่ายเพียง 1,500 บาท/ปี เท่านั้น และยังสามารถทำ CE online ในเว็ปไซต์ได้ตามปกติ
💙 อ่านจากเล่ม เน้นสะสม -
สำหรับท่านที่สมัคร/ต่ออายุสมาชิกแบบรับหนังสือ (สามารถใช้งานเว็ปไซต์และทำ CE online ได้ด้วย)
📍 ได้ทำ CE online มากกว่า 40 คะแนน/ปี
📍 ดาวโหลด E-book ไปอ่านได้
📍 ใช้งานเว็ปไซต์ได้เต็มรูปแบบ
📍 E-learning online course
ดูรายละเอียดแพคเกจ
และสมัครออนไลน์ด้วยตัวเองได้ที่ https://www.readvpn.com/register
หรือสอบถามเพิ่มเติม
add Line :

EP. สุดท้ายแล้ว ห้ามพลาด !!!Webinar “Cat Expert: The Series” by Zoetis🧡EP.3: ภัยเงียบในแมว อัปเดตอุบัติการณ์พยาธิที่พบบ่...
06/12/2024

EP. สุดท้ายแล้ว ห้ามพลาด !!!
Webinar “Cat Expert: The Series” by Zoetis🧡
EP.3: ภัยเงียบในแมว อัปเดตอุบัติการณ์พยาธิที่พบบ่อยและการดื้อยาปฏิชีวนะที่ต้องระวัง 🐱
รับชมสัมมนาและทำข้อสอบ รับ CE 2 คะแนน✨
พร้อมกิจกรรมลุ้นรางวัลใหญ่ ! 🎁
วันที่ 13 ธันวาคม 2567
เวลา 13.00-15.30 น.
รับชมได้ทาง page : VPN Magazine นี้ได้เลย

โปรโมชั่นต้อนรับปีใหม่ !!!ใครสนใจอยากเปิดร้านอาบน้ำตัดขนสุนัขและแมว ห้ามพลาดโอกาสนี้ เพราะ Kaset Grooming เปิดรับสมัครนั...
06/12/2024

โปรโมชั่นต้อนรับปีใหม่ !!!
ใครสนใจอยากเปิดร้านอาบน้ำตัดขนสุนัขและแมว ห้ามพลาดโอกาสนี้ เพราะ Kaset Grooming เปิดรับสมัครนักเรียนคอร์สเดือนมกราคมแล้วตั้งแต่วันนี้
สนใจติดต่อได้ที่ : 081-9893983
Line: (มี @ นำหน้าด้วยนะ)
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : Kaset Pet Grooming School
Location: https://maps.app.goo.gl/Ua6osUA3xnQc3nW17

สำหรับการอัลตราซาวนด์ตรวจลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ในสุนัขและแมวนั้นมีเคล็ดลับที่ควรทำดังต่อไปนี้1. การอัลตราซาวนด์ลำไส้ส่วน ...
06/12/2024

สำหรับการอัลตราซาวนด์ตรวจลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ในสุนัขและแมวนั้นมีเคล็ดลับที่ควรทำดังต่อไปนี้
1. การอัลตราซาวนด์ลำไส้ส่วน jejunum และ colon แนะนำให้ใช้ linear probe ที่มีความถี่ตั้งแต่ 10 เมกะเฮิรตซ์ ขึ้นไป เพราะจะทำให้ได้ภาพอัลตราซาวนด์ที่คมชัด
2. การตรวจหาลำไส้ส่วน jejunum ทำได้โดยวางหัว probe ที่กลางท้องบริเวณ umbilicus ในท่าสุนัขนอนตะแคงขวา (right lateral recumbency)
3. การตรวจหาลำไส้ส่วน descending colon ทำได้โดยวาง probe ไปที่ตำแหน่งของกระเพาะปัสสาวะ ในท่า right lateral recumbency ลำไส้ส่วน descending colon จะวางตัวใกล้กับกระเพาะปัสสาวะนั่นเอง
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของบทความเท่านั้น อ่านบทความฉบับเต็มพร้อมเคสตัวอย่างได้ที่ : https://readvpn.com/article/detail/2293
บทความโดย : น.สพ. พิสุทธิ์ เพ็ญสิทธิพร
สำหรับคุณหมอสัตวแพทย์ที่ยังไม่ได้เป็นสมาชิก
ตอนนี้ทาง VPN มีโปรโมชั่นน่าสนใจอยู่นะ
💙 อ่านออนไลน์ จ่ายถูกกว่า -
สำหรับสัตวแพทย์ท่านที่สมัครสมาชิกแบบอ่านออนไลน์ (ไม่รับหนังสือ) จ่ายเพียง 1,500 บาท/ปี เท่านั้น และยังสามารถทำ CE online ในเว็ปไซต์ได้ตามปกติ
💙 อ่านจากเล่ม เน้นสะสม -
สำหรับท่านที่สมัคร/ต่ออายุสมาชิกแบบรับหนังสือ (สามารถใช้งานเว็ปไซต์และทำ CE online ได้ด้วย)
📍 ได้ทำ CE online มากกว่า 40 คะแนน/ปี
📍 ดาวโหลด E-book ไปอ่านได้
📍 ใช้งานเว็ปไซต์ได้เต็มรูปแบบ
📍 E-learning online course
ดูรายละเอียดแพคเกจ
และสมัครออนไลน์ด้วยตัวเองได้ที่ https://www.readvpn.com/register
หรือสอบถามเพิ่มเติม

ที่อยู่

68/932 Moo 8 Soi 28
Bangkok
11000

เวลาทำการ

จันทร์ 09:00 - 17:00
อังคาร 09:00 - 17:00
พุธ 09:00 - 17:00
พฤหัสบดี 09:00 - 17:00
ศุกร์ 09:00 - 17:00

เบอร์โทรศัพท์

+6629655020

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ VPN Magazineผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง VPN Magazine:

วิดีโอทั้งหมด

แชร์

ประเภท

Our Story

VPN (Veterinary Practitioners NEWS) นิตยสารรายเดือนสำหรับสัตวแพทย์ สามารถสมัครสมาชิกใหม่ได้ผ่านทาง https://www.readvpn.com/VPN/Subscription


สัตวแพทย์ อื่นๆใน Bangkok

แสดงผลทั้งหมด