คลินิกระบบประสาท โรงพยาบาลสัตว์ จุฬาฯ

คลินิกระบบประสาท โรงพยาบาลสัตว์ จุฬาฯ บริการตรวจอายุรกรรมโรคระบบประสาท
(7)

คลินิกระบบประสาทถือกำเนิดขึ้นในดำหริของอาจารย์ศิรินทร หยิบโชคอนันต์ โดยแยกจากคลินิก internal medicine โดยมีอาจารย์ น.สพ.ศิราม สุวรรณวิภัช และอาจารย์วชิรา หุ่นประสิทธ์ ร่วมกันก่อตั้งขึ้น เมื่อประมาณต้นปีพ.ศ. 2553 สัตวแพทย์ประจำ ณ ขณะนั้นมีเพียง สพ.ญ.วรุณทิพย์ บุณยพุทธิกุล เท่านั้น ท่านจึงได้ทำหน้าที่หัวหน้าคลินิกอายุรกรรมประสาทไปด้วย โดยมีอาจารย์ทั้งสองท่านเป็นที่ปรึกษา ทางคลินิกตรวจให้บริการรักษาส

ัตว์ป่วยทางอายุรกรรมประสาทกว่า 100 รายต่อเดือน โดยประสานงานร่วมกับงานศัลยกรรมประสาท แผนกศัลยกรรมและแผนกรังสีวินิจฉัย เพื่อการวินิจฉัยและรักษาอย่างครบวงจร

29/01/2024

5 คำถามกับ -3 PUFA
ปัจจุบันคุณๆจะเห็นได้ว่า trend การเลี้ยงสุนัขและแมว รวมถึงสัตว์ exotic นั้นขยับเข้าสู่งการเลี้ยงสัตว์แบบประณีต คือไม่ใช่เพียงแค่พาไปรักษายามเจ็บป่วย หากแต่การป้องกันความเจ็บป่วยที่จะยังไม่เกิดขึ้นรวมไปถึงดูแลต่อยอดให้มีอายุยืนยาวแบบไม่แก่ คงคุณภาพชีวิตที่ดีไปจนวันสุดท้ายที่มีลมหายใจนั้นเป็นแนวคิดของคนในยุคปัจจุบันครับ ทำให้ในตลาดเกิด supplement นานาชนิดวางขายทั้งในรูป online วางขายตาม petshop น้อยใหญ่ คลินิก โรงพยาบาล ขาดแต่ร้านสะดวกซื้อหน้าปากซอยเท่านั้นที่ยังไม่มี และนับวันจะยิ่งทวีคูณทั้งชนิดและปริมาณให้เราๆเลือกซื้อกันจนหูตาลาย จริงไหมครับ
ผมในฐานะสัตวแพทย์ถูกตั้งกระทู้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่า หมอคะ อาหารเสริมตัวนี้หมอว่ายังไง หมอคับ วิตามินตัวไหนเหมาะกับน้องในเวลานี้บ้าง เห็น page นั้นเค้าเล่าว่าดีอย่างนู้น ดีอย่างนี้ จนผมตามอ่านแทบไม่ทันครับ บ้างก็ได้รับข้อมูลมาจากหมอบางท่านก่อนหน้าว่า “กินไปทำไม ตับไตพัง” บ้างก็แนะนำว่า “ต้องกินตัวนี้เพิ่ม ที่กินอยู่ยังไม่ cover” หรือบ้างก็ว่า “ยี่ห้อนี้ดีกว่าตัวที่กินอยู่” พ่อแม่ก็มาด้วยความมึนงงครับ
คงปฏิเสธไม่ได้ในเวลานี้ว่า supplement ที่ top hit ที่สุดคือ Omega-3 PUFA (polyunsaturated fatty acid) ที่มีกรดไขมันตัวสำคัญอันเป็นที่รู้จักกันคือ DHA และ EPA หากลองหาในท้องตลาดจะพบว่ามีมากกว่า 10 ยี่ห้อในเวลานี้ครับ มีทั้งที่มาแบบ pure ๆ และเป็นองค์กระกอบในอาหารเสริมชนิดอื่นๆ วันนี้ผมเลยจะมาชวนคุยเรื่องนี้กัน
คำถามที่ 1 Omega-3 PUFA นั้นดีจริงไหม
เจ้า Omega-3 PUFA ที่มีองค์ประกอบเป็นกรดไขมันชนิด EPA และ DHA นั้นมีหลักฐานยืนยันทางวิทยาศาสตร์ ทั้งในแง่ clinical study ที่ well design แบบ RCT และ experimental models รวมทั้งในแง่ทฤษฎีว่ามีประสิทธิภาพในการลดการอักเสบของโรคข้อเสื่อมในสุนัขและแมว ลดการอักเสบและรักษาภาวะคันจากโรคภูมิแพ้ผิวหนัง ลด triglyceride และ cholesterol ในสุนัข เพิ่มอัตราการกรอง ลดการสูญเสียโปรตีนทางปัสสาวะ ลด glomerular hypertension ลดปัญหา cardiac cachexia และปัญหา arrhythmia ใน Boxer RACM ลดโอกาสการเกิด atrial fibrilation ใน cardiac pacing model มีส่วนร่วมใน cocktail อาหารเสริมสำหรับ dog Alzheimer ฯ ดังนั้นไม่ควรจะมีข้อกังขากับประสิทธิภาพของ omega-3 PUFA ครับ
คำถามที่ 2 Omega-3 PUFA มาจากแหล่งไหนบ้าง
แหล่งสำคัญในปัจจุบันที่มีการใช้กันคือ ปลา ที่เรียกกันว่า Fish oil ตัวเคยที่เรียกว่า krill oil หอยแมลงภู่ New Zealand ที่เรียกว่า green lipped mussel oil หลายคนอาจอ่านพบว่าจริงๆ Omega-3 PUFA สามารถเจอในพืชได้ด้วย เช่น algae ซึ่งถือเป็น marine source และ canola, flaxseed, chia, h**p oil เป็นต้น แต่ไม่ได้รับความนิยมในสัตว์ด้วยเหตุที่ในสุนัขและแมวนั้นขาดเอนไซม์ในการเปลี่ยนรูป ALA (alphalinolenic acid) ซึ่งเป็น Omega-3 PUFA ในพืชให้กลายเป็น EPA และ DHA ได้ในทุกๆช่วงวัย การให้ plant based omega-3 จึงไม่ค่อยมีประสิทธิภาพถ้าเทียบกับ marine based ครับ
คำถามที่ 3 Omega-3 PUFA จากแหล่งไหนดีกว่ากัน
ถ้าให้เลือกระหว่าง marine based กับ plant based ก็ต้องเลือก marine ครับ แต่หากถามว่า ใน marine based ด้วยกันอันไหนดีที่สุด คำถามนี้ตอบยากนะครับ ส่วนตัวผมไม่สามารถให้คำตอบที่เด็ดขาดลงไปได้ เพราะ fatty acid profile ของแต่ละแหล่ง (ปลา เคย หอย สาหร่าย) มีความแตกต่างกัน อันนี้ต้องอธิบายก่อนว่า fatty acids ที่มีคุณประโยชน์จากแต่ละแหล่งนั้นไม่ได้มีแค่ DHA กับ EPA นะครับ สองตัวนี้แค่ได้รับการสนใจและศึกษามาก่อน จึงมีข้อมูลการศึกษามากที่สุด ใน profile ของกรดไขมันมีเป็นสิบชนิดที่พบในแต่ละแหล่งครับ แต่ละตัวที่เราไม่ได้ศึกษาก็มี potential ที่จะให้คุณประโยชน์ต่อตัวสัตว์ได้ทั้งสิ้น การเปรียบเทียบแต่ละแหล่งจึงกระทำได้ยากยิ่ง หากจะขยายความกันอีกนิด นอกจาก fatty acid profile แล้วยังมีเรื่องของ indication ที่เราจะนำไปใช้ บางชนิด omega-3 อาจดีกับข้ออักเสบมากกว่า บางชนิดดีกับผิวหนังอักเสบมากกว่า บางชนิดดีกับไตมากกว่า ทั้งนี้ขึ้นกับทั้งชนิดและ dose ที่สัตว์ได้รับและดูดซึมไปใช้ได้ด้วยนะครับ สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับคุณๆที่จะเลือกใช้คือ ต้องมีงานวิจัยที่กระทำในสัตว์ป่วยจริงสนับสนุน อันนั้นคือมั่นใจได้มากที่สุดครับ
คำถามที่ 4 Omega-3 PUFA จากแหล่งเดียวกัน ยี่ห้อ A ดีกว่ายี่ห้อ B จริงไหม
คำตอบที่ดีที่สุดของคำถามนี้คือการที่มี well design clinical study เปรียบเทียบประสิทธิภาพของสองยี่ห้อในกลุ่มทดลองเดียวกัน แต่ไม่มีใครทำหรอกครับ ถ้าทำก็ไม่ค่อยจะเผยแพร่ออกมา ดังนั้้นเราก็ต้องดูเป็นรายๆไปว่ายี่ห้อให้มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ในแง่การศึกษาในสัตว์ป่วยมีเจ้าของจริง และเป็น well design study บ้าง ผลการศึกษากระทำโดยคณะวิจัยที่มีความเป็นกลาง เช่น นักวิจัยจากสถาบันการศึกษา หรือสถาบันวิชาชีพที่ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับผลประกอบการของผลิตภัณฑ์ ยี่ห้อที่ผมเห็นในตลาดมีทั้งที่มีงานวิจัย support และไม่มี ส่วนมากจะไม่มีครับ อย่างดีอาจแค่ยกเอาผลการศึกษาในสัตว์ทดลอง หรือทฤษฎีที่หาอ่านได้มาสาธยายคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ น้อยรายที่จะเอาผลิตภัณฑ์ของตัวเองจริงๆมาศึกษา หากถามว่าทำไมเขาไม่ค่อยทำกัน ก็เพราะยากและแพงครับ Requirement สำหรับอาหารเสริมในการขึ้นทะเบียนไม่จำเป็นต้องมีงานวิจัย support เหมือนกับขึ้นทะเบียนยาครับ อาหารเสริมส่วนใหญ่จึงไม่ทำการศึกษาวิจัย เพราะไม่จำเป็น
อีกประการคือ เวลาเราดูองค์ประกอบของวัตถุออกฤทธิ์ในผลิตภัณฑ์ การที่มีจำนวนเท่ากันไม่ได้แปลว่าทำงานได้ดีเหมือนกันนะครับ เพราะมีปัจจัยอีกมากมายครับที่อาจส่งผลให้แต่ละยี่ห้อที่ดูเหมือนๆกัน “ไม่เหมือนกัน” ผมยกตัวอย่างเช่น form ของ omega-3 PUFA ซึ่งปัจจุบันเท่าที่ทราบมีอยู่ประมาณ 5 forms คือ
- [ ] Ethyl ester ฟอร์มนี้มีเยอะที่สุดในท้องตลาด เปลี่ยนรูปมาจาก triglyceride ด้วยการแทนที่ glycerol ด้วย ethanol เพื่อให้สามารถปรับแต่งเพิ่มความเข้มข้นของ DHA และ EPA ได้มากขึ้น แต่ปัญหาคือการย่อยและดูดซึมไปใช้ประโยชน์น้อยที่สุด (อาจแค่ไม่เกิน 20%) และหืนง่ายครับ
- [ ] Triglyceride ฟอร์มนี้เป็น form ดังเดิมที่เรียกว่า virgin oil ที่ได้จากอาหาร แต่มีข้อจำกัดเรื่องปริมาณ omega-3 ที่ไม่คงที่ vary ตามแต่แหล่งวัตถุดิบ
- [ ] Re-esterified triglyceride เป็นฟอร์มที่ถูกเปลี่ยนรูปจาก ethyl ester กลับไปเป็น triglyceride form เพื่อเพิ่มการย่อย การดูดซึม การนำไปใช้ครับ ฟอร์มนี้คือแพงที่สุด และถูกจัดอยู่ใน pharmacological grade มีอยู่ไม่กี่ brand ในท้องตลาด
- [ ] Free fatty acid ฟอร์มนี้เป็นการย่อยให้ molecule ของ omega-3 เล็กที่สุดเพื่อการดูดซึมและนำไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว จึงทำให้มีค่าการดูดซึมที่สูงเช่นกัน
- [ ] Phospholipid ฟอร์มนี้พบได้ในแหล่ง krill และ green lipped mussel ครับ เป็นฟอร์มที่พบว่าสามารถดูดซึมได้ดีเช่นกัน
น้อยรายจะ declare ฟอร์มของ omega-3 ครับ ส่วนมากจะเป็น ethyl ester กรณีที่ผลิตภัณฑ์ตนเป็น form อื่นนอกจาก ethyl ester ผู้ผลิตมักจะนำมาเป็นจุดเด่นในการโฆษณาและแน่นอนว่าราคาจะค่อนข้างสูงกว่า omega-3 ทั่วไป บางคนที่เคยใช้ omega-3 PUFA แล้วพบว่าไม่เห็นความแตกต่างเลย แถมค่าไขมันในเลือดก็สูงขึ้นอีกต่างห่าง หมอก็ว่าอ้วนขึ้นเพราะกินเจ้านี่ซะด้วย ผมขอเรียนว่า คุณๆน่าจะได้รับ omega-3 ที่ไม่มีประสิทธิภาพจริง อาจมีปริมาณ DHA และ EPA น้อย หรือหากว่ามีก็ย่อยและดูดซึมไม่ได้ตามคาด มีแต่ไขมันที่เป็นตัวทำละลาย ยิ่งกินเลยยิ่งอ้วน มันจุกอก
คำถามที่ 5 omega-3 PUFA กินนานๆมีข้อเสียไหม
หากเราพยายามหาข้อมูลจากท้องตลาดเราจะพบ concern ในเรื่องการแข็งตัวของเลือดครับ อันนี้ในคนอาจเป็น concern ที่สำคัญเพราะพบว่า omega-3 อาจส่งผลต่อการทำงานของเกล็ดเลือดที่มีหน้าที่ห้ามเลือดครับ ขณะที่ในสุนัขและแมวมี study ที่พยายาม investigate ในเรื่องนี้และพบว่าผลต่อการแข็งตัวของเลือดคือต่ำมาก แม้เราให้ overdose ถึง 10 เท่าก็ยังไม่พบ แถมท้ายว่าจะมีโอกาสพบได้ก็ต่อเมื่อใช้ร่วมกับยาตระกูลต้านการแข็งตัวของเลือดชนิด aspirin อยู่ก่อนแล้ว ดังนั้น สัตวแพทย์หลายๆท่านอาจไม่ได้ recommend ให้หยุด supplement ตระกูล omega-3 PUFA ก่อนและหลังการผ่าตัดครับ นอกจากนั้นจะเป็นเรื่องของ GI upset คือคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย เป็นต้น ทั้งนี้พบว่าเป็น dose-dependent ครับและส่วนตัวพบน้อยมากเช่นกัน
ทีนี้กินนานๆจะพบข้อเสียอะไรไหม นอกจากเสียเงินเพราะค่อนข้าง costly และอาจดูเกินจำเป็นเพราะหลายครั้งอาหารที่กินก็มีการ supple DHA และ EPA อยู่สูงอยู่แล้วผมไม่เห็นว่าจะมีอะไรที่เสียหายในภาวะ long term นะครับ AAFCO guideline 2016 ถือว่า DHA และ EPA เป็น essential fatty acid ที่ขาดไม่ได้ในสัตว์แรกเกิดและสัตว์วัยเด็กครับ เพราะมีความสำคัญต่อการเจริญของระบบประสาทและจอตา (สังเกตได้ว่าเหมือนในนมผมเด็กครับ) วัยที่สำคัญอีกครั้งคือสัตว์สูงวัยที่จะเริ่มพบความเสื่อมถอยของอวัยวะและมีการอักเสบเป็น background ครับ จุดนี้ EPA และ DHA เริ่มกลับมามีความสำคัญ ส่วนตัวผมเองนั้น ผมกิน omega-3 PUFA ในแง่ supplement ที่เป็น antiaging ครับ ดังนั้นสุนัขและแมวที่ผมรักษาจึงอยู่ใน way เดียวกัน เหตุเพราะผมจะเน้นที่การป้องกันมากกว่าการรักษา แม้หลักฐานการศึกษาในแง่การป้องกันจะยังไม่มีในสัตว์นะครับ แต่ด้วย safety of margin ของ omega-3 นั้นกว้างยิ่งนัก หากสวยและรวยมากก็จัดไปครับ แต่หากเงินเป็นเหตุปัจจัยก็งดเว้นไว้ใช้เมื่อจำเป็นจริงๆละกันนะครับ เอวังฯ


เรา supply cobalamin กันมากๆกับโรคทางระบบประสาท รูปแบบ cobalamin ที่มากขึ้น เกิดทางเลือกให้เราต้องพิจารณาว่า แบบใดที่เหม...
14/11/2023

เรา supply cobalamin กันมากๆกับโรคทางระบบประสาท รูปแบบ cobalamin ที่มากขึ้น เกิดทางเลือกให้เราต้องพิจารณาว่า แบบใดที่เหมาะกว่ากับเด็กๆ ใครสนใจฝักใฝ่หาอ่านเพิ่มพูนวิทยาการกันได้เลยครับ

วิตามินบี 12 หรือ cobalamin วิตามินละลายน้ำมีธาตุโคบอลต์เป็นส่วนประกอบ มีความสำคัญในกระบวนการทางชีวเคมีที่มีชื่อว่า single carbon transfers ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเมตาบอลิซึมของโปรตีนและนิวคลีโอไทด์ ซึ่งในสัตว์เลี้ยงนั้น cobalamin สำคัญสำหรับการเป็น diagnostic marker ของโรคทางเดินอาหารครับ ในทางกลับกันยังพบอีกว่าการเสริม cobalamin ทำให้โรคระบบทางเดินอาหารดีขึ้นได้ด้วย วันนี้ผมเลยขออนุญาตเล่าเรื่องเกี่ยวกับ cobalamin ให้พอเข้าใจกันพอสังเขปนะครับ
วิตามินบี 12 หรือ cobalamin นั้นเป็นวิตามินที่อยู่ในอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ ไม่มีในอาหารจำพวกผัก เมื่อได้รับโดยการกินแล้วต้องอาศัยตัวนำพารวม 3 ตัวเสมือนรถแท็กซี่ กล่าวคือตั้งแต่จับมากับโปรตีนในอาหาร (1) ปล่อยแล้วจับใหม่กับ R-protein (2) ที่ secrete จากกระเพาะ ปล่อย R-protein แล้วจับใหม่กับ intrinsic factor (3) ที่มากับ pancreatic juice ก่อนจะวิ่งด้วยระยะทางไกล ๆ ไปถึงลำไส้เล็กส่วน ileum ถึงจะดูดซึมผ่าน mucosa โดยจับกับ cubilin receptor ก่อนเข้าสู่กระแสเลือดต่อไป
การลดลงของระดับ cobalamin มีความสอดคล้องกับอาการทางระบบทางเดินอาหารโดยเฉพาะกรณีโรคของระบบนี้แบบเรื้อรังที่จะพบทั้งอาการอาเจียนและท้องเสีย มีการศึกษาพบว่าในแมวพบการตอบสนองเชิงบวกคืออาการทั้งหมดลดลงหลังมีการเสริม cobalamin แบบฉีด parenteral ในสุนัขพบการลดลงของ cobalamin กับการเกิดโรคตับอ่อนไม่ทำงานคือ exocrine pancreatic insufficiency (EPI)
จะว่ากันแล้วกลไกของการขาด cobalamin ในราย EPI นั้นอาจเกิดได้จากสาเหตุ 3 ประการ ดังนี้ 1. การขาด intrinsic factor จากตับอ่อน 2. การเกิด dysbiosis ของแบคทีเรียในลำไส้เล็กด้วยเหตุที่สารคัดหลั่งจากตับอ่อน มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียได้ และ 3. ตัวลำไส้เองที่ mucosa อาจมีปัญหาเช่นการอักเสบจาก dysbiosis หรือ toxic metabolites ต่าง ๆ ซึ่งการขาด cobalamin จะทำให้สัตว์มีอาการป่วย น้ำหนักลด มีอาการทางระบบทางเดินอาหาร เช่น ท้องเสีย หรือ EPI จึงถือเป็นตัวอย่างสำคัญสำหรับการขาด cobalamin ในสุนัขเลยทีเดียวครับที่จำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกตัวควรได้รับการตรวจติดตามและแก้ไขอย่างใกล้ชิด
รูปแบบของ cobalamin ที่มีขายในปัจจุบันมีอยู่ 2 forms คือ cyanocobalamin ซึ่งเป็นฟอร์มที่มีราคาถูกและหาง่าย แถมยังเป็นฟอร์มที่มีความเสถียรกว่าตัว cobalamin เอง เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะเปลี่ยนรูปเป็น methylcobalamin และ adenosylcobalamin ซึ่งเป็น active metabolite หรือสารสำคัญออกฤทธิ์ของวิตามินบี 12 ต่อไป
นานมากแล้วที่ก่อนหน้านี้เราเคร่งครัดในการให้ cobalamin ในแบบ parenteral เพราะเชื่อว่าการให้ด้วยการกินในสัตว์ป่วยระบบทางเดินอาหารไม่น่าจะมีประสิทธิภาพในการถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ จึงมีการให้ในรูปแบบฉีดมานานหลายสิบปี ตราบจนมีผู้ศึกษาถึงประสิทธิภาพ cobalamin ชนิดกินโดยวัดผลถึงการเพิ่มขึ้นของระดับ cobalamin และการลดลงของระดับ methylmalonic acid ที่จะบอกถึงการขาด cobalamin ระดับ tissue โดยพบว่าการให้ในรูปแบบกินนั้นให้ผลไม่ต่างกันกับรูปแบบฉีด ทั้งในสัตว์ปกติและสัตว์ป่วยเรื้อรังของทางเดินอาหาร ซึ่งตรงนี้เองทำให้เกิด paradigm shift ครั้งที่ 1 เกิดขึ้น
------------------------------------------------
Paradigm shift ครั้งที่ 1

Paradigm shift ครั้งที่ 1 จึงเกิดขึ้นตรงนี้ครับโดยมีการแนะนำ protocol การ supplement ดังนี้ ควรให้กินทุกวันเป็นเวลานาน 12 สัปดาห์และตรวจระดับ cobalamin ในเลือดอีกครั้ง 1 สัปดาห์หลังหยุดยา ส่วน protocol แบบฉีด คือ ฉีดให้สัปดาห์ละครั้งเป็นเวลาติดกัน 6 สัปดาห์ จากนั้นฉีดอีก 1 ครั้งในอีก 1 เดือนถัดไป และทำการตรวจระดับ cobalamin 1 เดือนหลังเข็มสุดท้าย หากอาการดีขึ้น ระดับ cobalamin ที่ตรวจได้ควรอยู่ในระดับ supranormal อาจสามารถหยุดการให้ได้ ขณะที่ในตัวที่อาการยังไม่ดี ระดับ cobalamin อาจอยู่ในระดับปกติ (ทั้งที่มีการ supplement อยู่ก็ตาม) การจัดการคือควรให้ cobalamin ต่อไปเดือนละครั้งเป็นอย่างน้อย แต่ในกรณีที่เราตรวจระดับ cobalamin แล้วพบว่ายังคงมีระดับที่ต่ำอยู่ทั้งที่ supplement แล้ว อันนี้เป็นตัวบ่งชี้สำคัญที่เราควร investigate ต่อว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ กรณีนี้เราอาจให้ฉีด cobalamin ต่อโดยอาจเป็นสัปดาห์ละ 1 - 2 ครั้ง หรือในรูปกินควรให้กินทุกวันต่อไป
นอกจากนี้ยังพบว่า cobalamin มีฤทธิ์ในการกระตุ้นความอยากอาหารในแมวด้วย แม้ว่าระดับ cobalamin ในเลือดจะยังอยู่ในระดับปกติ การเสริม cobalamin ทำให้แมวกลับมาทานอาหารเยอะขึ้นได้ในรายโรคทางเดินอาหารเรื้อรังซึ่งเป็นที่น่าสนใจไม่น้อย ในกรณีนี้อาจให้ cobalamin ด้วยการฉีดทุก 1-2 สัปดาห์ หรือให้กินทุกวันจนถึงวันเว้นวันได้ครับเพราะ cobalamin เป็นวิตามินละลายน้ำและขับออกทางไต การ over-supplement จนทำให้เกิดความเป็นพิษนั้นยังไม่เคยมีในรายงาน ด้วยความปลอดภัยที่สูงทำให้การเสริม cobalamin ให้กับสัตว์ป่วยจึงไม่ใช่สิ่งที่น่ากังวลอะไรครับ
เราพบวิตามิน B12 ในหลายรูปแบบ ได้แก่ cyanocobalamin, hydroxycobalamin, nitritocobalamin, adenosylcobalamin และ methylcobalamin โดยสองรูปแบบสุดท้ายคือ adenosyl- และ methyl- นั้นเป็น active form หรืออาจเรียกว่า coenzyme form เพราะสองตัวนี้ถูกใช้ในปฏิกิริยาต่าง ๆ ในร่างกายเรา
หลังจากค้นหายาในบ้านเราพบว่ารูปแบบที่มีขายมีอยู่ 2 แบบ คือ cyanocobalamin ทั้งรูปแบบฉีดและกิน แต่รูปแบบกินนั้นมักมาแบบ combination กับวิตามินบีตัวอื่น ๆ หรือวิตามินชนิดอื่น ๆ เลยเป็น combo แบบเดี่ยว ๆ ก็มีครับแต่มีไม่กี่ยี่ห้อซึ่งต่างกับที่เมืองนอกที่หาได้ง่ายกว่ามาก ส่วนอีกรูปแบบที่หาง่ายกว่ามากคือ methylcobalamin มีหลายยี่ห้อเลยเพราะในคนเขาใช้กันในการรักษาภาวะ diabetic neuropathy หรือภาวะ peripheral neuropathy ชนิดอื่น ๆ
จากข้อมูลใหม่ ๆ ในปัจจุบันพบว่า active co-enzyme form อันได้แก่ methylcobalamin และ adenosylcobalamin ที่สมัยก่อนเชื่อว่าท้ายที่สุดก็ออกฤทธิ์เหมือน ๆ กันนั้น อันที่จริงเริ่มค้นพบว่าสองรูปแบบนี้มี metabolic pathway ที่แตกต่างกัน การ supplement เพียงรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งไม่สามารถชดเชยรูปแบบที่เหลือได้
------------------------------------------------
Paradigm shift ครั้งที่ 2
Paradigm shift เกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ด้วยว่าหากจะเสริมอาจต้องเสริมในทั้งสองรูปแบบ (methylcobalamin และ adenosylcobalamin) หรือย้อนกลับไปให้ cyanocobalamin หรือ hydroxycobalamin ที่สามารถแตกตัวให้สอง active form นี้แทน หลายคนที่ชอบให้ cobalamin ในฟอร์ม methyl- อย่างเดียวอาจมีปัญหาการขาด adenosylcobalamin ได้ โดยรูปแบบหลังนี้สำคัญในการ support Krebs cycle และการสร้าง ATP ภายในเซลล์ โดยในต่างประเทศพบ adenosylcobalamin เดี่ยว ๆ ขายด้วย แต่ในประเทศไทยผมยังไม่เคยเห็นเลย
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อนะครับ ว่าเรื่องวิตามินตัวเล็ก ๆ แต่เรื่องราวช่วงหลังมาไม่ยักกะเล็กเลย เมื่อเรียนรู้ถึงบทบาทและความสำคัญผสมกับความเข้าใจถึงกลไกการทำงานและการตรวจวิเคราะห์แล้ว จะเรื่องใหญ่แค่ไหนก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป จริงไหม และสุดท้ายผมฝากติดตาม paradigm shift กันต่อนะครับเพราะบางครั้ง shift ไปแล้วก็ shift กลับได้ กลับไปกลับมาตามแต่ข้อมูลที่เพิ่มขึ้น บางทีเรื่องทางโลกทางวิทยาศาสตร์ก็กลับไปกลับมาได้เหมือนกันครับ
------------------------------------------------
Highlight
- cobalamin คือวิตามินละลายน้ำที่สำคัญสำหรับเซลล์เพราะเป็นส่วนประกอบของโคเอนไซม์ เป็นวิตามินที่สร้างเองไม่ได้ต้องได้รับจากภายนอกเท่านั้น
- ควรตรวจ serum cobalamin ในสัตว์ป่วยเรื้อรังระบบทางเดินอาหารทุกราย เพราะสำคัญในการวินิจฉัยชนิดและตำแหน่งของโรค
- โรคเรื้อรังระบบทางเดินอาหารสามารถทำให้สัตว์ขาด cobalamin และการขาด cobalamin สามารถทำให้เกิดโรคเรื้อรังทางเดินอาหารได้
- Paradigm shift แรกคือ การให้ cobalamin โดยการกินให้ผลดีไม่ต่างจากการฉีด
- Paradigm shift ที่ 2 คือ แต่เดิม form ที่นิยมคือ methycobalamin เพราะถือว่าเป็น active co-enzyme form แต่เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอสำหรับการ supplement ต้องย้อนกลับไปใช้ cyanocobalamin หรือ hydroxycobalamin หรือต้องให้ active form ที่เหลืออีกชนิดร่วมด้วยคือ adenosylcobalamin

(*หมายเหตุ - เนื้อหาข้างต้นเป็นเพียงบางส่วนของบทความ)

คอลัมน์ VetSikkha
บทความโดย ผศ. น.สพ.ศิราม สุวรรณวิภัช
---------------------------------------------------------------
นิตยสาร VPN ฉบับที่ 203
เดือน สิงหาคม 2562
Nutrition in need
สามารถสมัครสมาชิกได้ที่
https://www.readvpn.com/VPN/Subscription

จากนั้นส่งเอกสารยืนยันการชำระเงินมาทาง
LINE: (มี@ด้วย)
แล้วรอการติดต่อกลับจากทีมงานทาง E-mail
ติดต่อ/สอบถาม
E-mail : [email protected]
โทร. 0-2965-5020, 084-435-5675 (ฝ่ายสมาชิก)
(จ-ศ เวลา 9.00-16.00 น.)
ติดต่อโฆษณา/ฝากข่าวสารประชาสัมพันธ์
085-282-3248 (ฝ่ายการตลาด)

ที่อยู่

Henri Dunant Road ถนนอังรีดูนังต์ Wangmai วังใหม่ Patumwan ปทุมวัน
Bangkok
10330

เวลาทำการ

จันทร์ 08:00 - 15:30
อังคาร 08:00 - 15:30
พุธ 08:00 - 15:30
พฤหัสบดี 08:00 - 15:30
ศุกร์ 08:00 - 15:30

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ คลินิกระบบประสาท โรงพยาบาลสัตว์ จุฬาฯผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง คลินิกระบบประสาท โรงพยาบาลสัตว์ จุฬาฯ:

แชร์

ประเภท


สัตวแพทย์ อื่นๆใน Bangkok

แสดงผลทั้งหมด

คุณอาจจะชอบ