
22/06/2025
ขี้แตกเมื่อไหร่ ต้องไม่ลืมนาง Cryptosporidiosis
ว่ากันว่า หากพูดถึง cryptosporosis ที่เกิดได้จากนกเป็นพาหะ และคุณเคยอ่านเพจผม ย่อมรู้จักมันดี แต่มันมีอีกโรค ชื่อคล้ายกันนะคิดว่า คนอาจจะไม่เคยได้ยินกันนัก ใช่แล้วผมกำลังหมายถึง cryptosporidiosis ชื่อยาวกว่าอีกนิด แต่ก็ขึ้นด้วยคริปเหมือนๆกันครับ วันนี้หละผมจะเล่าถึงมันครับ อีเหมียวที่มีโอกาสสูงที่จะได้โรคนี้คือ พวกที่ภูมิคุ้มกันไม่ค่อยจะดีจาก leukemia หรือไม่ก็เป็นแมวเด็ก ไม่ก็พวกแก่ๆไปเลย แต่แมวกลุ่มอื่นๆก็มีสิทธิ์เหมือนกันนะแค่อาจจะน้อยกว่าเท่านั้น ทุกคนเท่าเทียมและทำให้ถึงกับตายเลยนะ และเคยมีการเก็บข้อมูลมาจากในต่างประเทศนะ แมวมากกว่า15% เคยติดเชื้อนี้มาก่อน นี่หละเป็นเหตุให้ผมเอามาเขียนในวันนี้ แต่แปลกไหมอีปรสิตชนิดนี้หายเองได้ด้วยแหะเอากับเขาดิแต่เหตุผลที่ทำให้แมวตายได้เพราะมันจะทำให้ขี้แตกรุนแรงทีเดียวและเสียน้ำอย่างมาก งั้นเราเริ่มมาเรียนรู้ถึงปรสิตตัวนี้กัน
Cryptosporidia เป็นชนิด Protozoa ชื่อ Cryptosporidium felis ที่จะติดเข้าไปในผนังลำไส้ของ host ซึ้ง host ก็มีทั้งสัตว์หลายชนิดรวมถึงพวกเราด้วยนะ ซึ่งเชื้อนี้จะถูกปกป้องด้วยเปลือกที่เรียกว่า Oocyst ซึ่งผ่านออกจากร่างกาย host หรือเหยื่อดีกว่าเนอะเพราะดี เออผ่านออกมาจากเหยื่อทางอึ แล้วไอ้oocyst ที่ว่า ดันอยู่ได้นานในสิ่งแวดล้อมนอกตัวเหยื่อของมัน และเมื่อเหยื่อรายใหม่บังเอิญ กินขี้ กินน้ำที่ปนอีoocyst เข้าไป คุณได้สิทธิ์นั้นทันทีเข้าใจตรงกันนะครับ
อาการของโรคนี้ในแมวมีอาการอะไรบ้างที่ต้องสังเกต ซึ่งมันจะคล้ายๆกับ Protozoa อื่นๆทั่วไป อาการหลักๆดังนี้
* Severe diarrhea หรือขี้แตกรุนแรง
* ปวดเกร็งท้อง
* คลื่นไส้
* อาเจียน
* ไข้อาจจะมีได้
* ขาดน้ำและอ่อนแรง(lethargy)
* เบื่ออาหาร
* น้ำหนักลด
* อาจจะพบขี้จนรอบตูดแดงอักเสบไปหมด
สาเหตุของการเกิดโรคนี้มาจากอะไรไม่ได้เลย นอกจากไปติดไปรับเชื้อนี้ทั้งบังเอิญกิน หรือตั้งใจกินขี้ของตัวที่ป่วยอยู่ หรืออีตัวป่วยเกิดไปอึใส่แหล่งน้ำ แล้วหมาแมวคุณ คงไม่รวมถึงตัวคุณนะ ไปกินน้ำเหล่านั้น ก็เสร็จนาง โดยเชื้อจะเข้าไปในmicrovilli ของลำไส้เล็กแล้วพัฒนาเข้าวงจรของมันคล้ายๆกับเชื้อ Isospora (ไว้จะเล่าให้ฟัง) ส่วนในคนที่ภูมิคุ้มกันไม่ค่อยดี เชื้ออาจจะเข้าไปในลำไส้ใหญ่ทางเดินหายใจ ท่อน้ำดี ท่อตับอ่อนได้นะ หนักกว่าอีเหมียวอีก
การวินิจฉัยจริงๆทำได้เหมือนจะง่าย แต่ไม่ได้ง่ายเหมือนดังผมพูด เพราะรูปร่างของเชื้อดูยาก คล้ายหลายอย่าง อาจจะทำให้คุณหมอคลาดเคลื่อนได้ แต่ยาก ก็ไม่ได้แปลว่าทำไม่ได้ใช่ไหม ดังนั้นการวินิจฉัยต้องเป็นหน้าที่ของเราทั้งสองฝ่าย ดังนี้
* จากอาการและเฝ้าสังเกตอีเหมียวต้องสงสัย
* การตรวจร่างกายแมวอย่างละเอียด
* การตรวจอึ เช่นการเอาอึมาทำ acid-fast stain ก็จะทำให้ oocyst ติดสีแดง หรือจะใช้เทคนิค fluorescent antibody test
* การใช้ PCR เพื่อวินิจฉัย หาเชื้อจากในอึก็สามารถทำได้ แต่ราคาก็แพงนิดหน่อย เอาเหอะมันติดคุณได้ จ่ายไป
การรักษา เนื่องจากเชื้อมันจะหายเอง หรือที่เขาเรียกว่า self limiting ดังนั้นการรักษาจึงเน้นไปที่การ support อาการมากกว่าครับ แล้วจะ support ยังไงใช่ไหม
* เพิ่มปริมาณน้ำเข้าเพื่อแก้ไขภาวะขาดน้ำครับ นอกจากนี้ การให้อาหารเปียกจะช่วยเพิ่มน้ำให้กับอีเหมียวได้อีกทาง
* หากอีเหมียวขาดน้ำแบบตัวเหี่ยว หนังหัวตั้ง แปลว่า ต้องเปิดเส้นหละ แอดมิทให้น้ำเกลือทางเลือด แก้ไขภาวะ electrolytes imbalance แบบนี้
* ยาปฏิชีวนะพิจารณา Paromomycin แต่ยากลุ่มนี้ใช้ก็ต้องระวังไตหน่อยนะ
* การใช้ tylosin ก็เป็นที่นิยม แต่ในเมืองไทยเท่าที่ผมทราบ มีแต่ยาของหมู ก็ต้องเอามา apply ใช้กันซึ่งยุ่งยากมาก
* Azithromycin ก็เป็นที่นิยมเช่นกัน โดยโดสที่ใช้ในแมวกับหมาต่างกันนะ 5 to 10 mg/kg BID for 5 to 7 days (dogs); 7 to 15 mg/kg for 5 to 7 days (cats) ตามนี้
การหายของเชื้อนี้จะใช้เวลา ราว 7-14 วันครับ ซึ่งในแมวที่สุขภาพดี ก็จะพยากรณ์โรคได้ดีกว่าแมวง่อยแมวแก่เยอะ และในแมวง่อย อาจจะถึงแก่ชีวิตได้เลย และอีกอย่างที่แซปมากๆเลยคือ เราป้องกันการกระจายของเชื้อยากนะ ยากมาก เพราะมันไม่ตายไงด้วย disinfectant ที่เราใช้ๆกัน ดังนั้นดีที่สุด อย่าเป็นหรือ เอาอีเหมียวของเราอยู่ในบ้านนะ อย่าเร่ร่อนมากนัก และให้อาหารที่สะอาดแน่นอน ไม่ปนเปื้อน รวมถึงน้ำด้วย เปลี่ยนบ่อยๆหน่อยครับ ถุงมือสวมเข้าไปกันไว้ครับ แล้วแมวๆของคุณมีบ้างไหมที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้
by Zuni and Vilar
animal hospital