มิตรแท้ รักษาสัตว์

มิตรแท้ รักษาสัตว์ คลินิกรักษาสัตว์เลี้ยงทั่วไป-พิเศษโรคมะเร็ง ผ่าตัดศัลยกรรม ดูแลสัตว์หลังผ่าตัด บริการฝากเลี้ยง และโรงแรมสำหรับสัตว์เลี้ยง

ให้บริการรักษาโรคทั่วไป วัคซีน ตรวจเลือดด่วน อัลตร้าซาวน์เฉพาะทางโรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคตา โรคแมว โรคแมวและexotic pets และคำปรึกษาเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง พร้อมบริการ
โรงแรมสำหรับสุนัขและแมว ด้วยทีมแพทย์คุณภาพ บริการเป็นกันเอง

05/01/2025

สุขสันต์วันปีใหม่ Belate 2025 และขอ Happy Birthday ครบรอบ 13 ปี ตัวเองค่ะ
--มิตรแท้รักษาสัตว์ ขอขอบคุณทุกความรัก ทุกกำลังใจจากทุกๆท่าน ตลอดระยะเวลา 13 ปีที่ผ่านมา (เปิด 5 ม.ค. 2555) เราได้รับความรัก ความห่วงใยมากมาย มีแต่ความสุขในทุกๆวันที่ได้ทำงาน ได้รักษาสัตว์ทุกตัวด้วยความตั้งใจ ขอสัญญาว่า เราจะรักษาคุณภาพ และพยายามอัพเดทความรู้เพื่อช่วยน้องๆอย่างเต็มที่--

ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันตลอดมา และขอสัญญาว่าจะเคียงข้างกันแบบนี้ตลอดไปค่ะ

#มิตรแท้รักษาสัตว์ #พิบูลสงคราม #นนทบุรี
#เพราะสัตว์เลี้ยงของคุณคือมิตรแท้ของเรา #ครบรอบ13ปี #รักษาสัตว์ #ธนาคารเลือด #มะเร็ง #สุนัข #แมว #ผ่าตัด #วัคซีน

สุขสันต์วันปีใหม่ค่า  มิตรแท้รักษาสัตว์ มีกิจกรรมดีๆมาฝากค่า #มิตรแท้รักษาสัตว์  #นนทบุรี
02/01/2025

สุขสันต์วันปีใหม่ค่า มิตรแท้รักษาสัตว์
มีกิจกรรมดีๆมาฝากค่า
#มิตรแท้รักษาสัตว์ #นนทบุรี

30/12/2024
Happy New Year 2025 ทุกคนค่า
30/12/2024

Happy New Year 2025 ทุกคนค่า

28/12/2024

ตลาดผลิตภัณฑ์แคนนาบิไดออล (Cannabidiol; CBD) สำหรับสัตว์เลี้ยงคาดว่าจะเติบโตขึ้น 3.05 พันล้านดอลลาร์ในช่วงปี ค.ศ. 2021 – 2025 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีเกือบ 30% อย่างไรก็ตาม การขยายตัวของตลาด CBD สำหรับสัตว์เลี้ยงนี้ยังคงมีข้อกังวลเกี่ยวกับความถูกต้องตามกฎหมาย ความปลอดภัย และประสิทธิผลในการรักษาสัตว์ของ CBD
CBD ที่ใช้ในอาหารเสริมสำหรับสุนัขและแมวนั้นสกัดมาจากกัญชง (Cannabis sativa) ซึ่งต้องมีปริมาณสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (Tetrahydrocannabinol; THC) ต่ำกว่า 0.3% ของน้ำหนักพืชทั้งต้น จนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีข้อกำหนดทางกฎหมายที่ชัดเจนจากสำนักงานอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) เนื่องจากยังต้องการงานวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับความปลอดภัยของ CBD
ทั้งนี้ กัญชงและสารสกัดจากกัญชงยังไม่มีคำจำกัดความที่ชัดเจนในฐานะวัตถุเจือปนอาหารตามมาตรฐานของสมาคมผู้ควบคุมอาหารสัตว์แห่งอเมริกา (AAFCO) และ CBD ยังไม่ได้รับการยอมรับว่า "Generally Recognized as Safe (GRAS)" จาก FDA ดังนั้น ในปัจจุบันผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและสารสกัดจากกัญชงยังไม่สามารถใช้เป็นส่วนผสมในอาหารสัตว์ได้ (Alvarenga et al., 2023)
กัญชง (Cannabis sativa) ประกอบด้วยโมเลกุลออกฤทธิ์มากกว่า 100 ชนิดที่เรียกว่า ไฟโตแคนนาบินอยด์ (phytocannabinoids) โดยสองชนิดที่พบได้มากที่สุดคือ THC และ CBD ซึ่ง THC พบได้ในกัญชาและเป็นสารที่มีผลต่อจิตประสาท ส่วน CBD ซึ่งพบได้ในกัญชงเป็นหลัก ได้รับการยอมรับว่าไม่มีหรือมีผลต่อจิตประสาทเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ในปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ CBD ที่ได้จากกัญชงมีจำหน่ายในรูปแบบต่าง ๆ เช่น แบบเนื้อข้น น้ำมัน อิมัลชันไขมัน หรือขนมเคี้ยว โดยทุกชนิดต้องมีปริมาณ THC ต่ำกว่า 0.3% ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถูกมองว่าเป็นการบำบัดเสริมสำหรับการรักษาความผิดปกติทางคลินิกบางประเภท (Henion et al., 2023).
เภสัชพลศาสตร์ เภสัชจลนศาสตร์ และความปลอดภัยของ CBD
ไฟโตแคนนาบินอยด์ (phytocannabinoids) หลัก 2 ชนิดในกัญชาและกัญชง ได้แก่ THC และ CBD มีคุณสมบัติทางเภสัชจลนศาสตร์ที่คล้ายคลึงกัน แต่แสดงคุณสมบัติทางเภสัชพลศาสตร์ที่แตกต่างกัน ทั้งสองชนิดมีปฏิสัมพันธ์กับตัวรับ cannabinoid receptor 1 (CB1) และ cannabinoid receptor 2 (CB2) ในระบบเอนโดแคนนาบินอยด์ (endocannabinoid system - ECS) ซึ่งพบได้อย่างแพร่หลายในระบบประสาทส่วนกลางและส่วนปลายของมนุษย์และสัตว์อื่น CBD แสดงความสัมพันธ์กับตัวรับทั้งสองชนิดในระดับที่ต่ำ ดังนั้นจึงมีปฏิสัมพันธ์ทางอ้อมกับตัวรับ โดยทำหน้าที่เป็น negative allosteric modulator ที่ตำแหน่ง orthosteric site ของ CB1 ซึ่งส่งผลต่อความแรง (potency) และประสิทธิภาพ (efficacy) ของ orthosteric ligand โดยไม่กระตุ้นตัวรับ นอกจากนี้ CBD ยังแสดงฤทธิ์ผ่านการปฏิสัมพันธ์กับตัวรับอื่น ๆ เช่น
• ตัวรับ PPAR-γ (peroxisome proliferator-activated receptor-γ) ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ
• ตัวรับไกลซีน α-3 glycine receptor (GLRA3) ซึ่งมีฤทธิ์ระงับปวด
• ตัวรับ serotonin 5-HT1A และ 5-HT3A ซึ่งมีฤทธิ์ต้านภาวะซึมเศร้าและลดความวิตกกังวล
• ตัวรับ vanilloid (VR1) ซึ่งมีฤทธิ์ระงับปวด
แม้ว่ากลไกการออกฤทธิ์ทั้งหมดของ CBD ยังไม่ได้รับการอธิบายอย่างสมบูรณ์ แต่เป็นที่ชัดเจนว่า CBD ซึ่งไม่มีฤทธิ์ทางจิตประสาท แสดงผลกระทบที่หลากหลายในระบบต่าง ๆ ของร่างกาย
CBD ดูดซึมได้ดีขึ้นเมื่อรับประทานพร้อมอาหารหรือสารที่มีไขมันเป็นส่วนประกอบ ความเข้มข้นของ CBD ในเลือดมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับขนาดของปริมาณที่ได้รับ ในปัจจุบันมีงานวิจัยจำนวนหนึ่งที่ศึกษาถึงเภสัชจลนศาสตร์และความปลอดภัยของ CBD ในสุนัข โดยให้ขนาดยา 2 มก./กก. วันละสองครั้ง ในรูปแบบรับประทาน พบว่ามีค่าครึ่งชีวิต (t1/2) สั้น อยู่ระหว่าง 1 ถึง 4.2 ชั่วโมง ความเข้มข้นของสารในซีรัมสูงสุด (Cmax) อยู่ระหว่าง 102 ถึง 301 นาโนกรัม/มิลลิลิตร และเวลาที่ใช้เพื่อให้ถึงความเข้มข้นสูงสุด (Tmax) อยู่ระหว่าง 1.4 ถึง 1.5 ชั่วโมง และพบว่า CBD-infused oil แสดงโปรไฟล์เภสัชจลนศาสตร์ที่ดีที่สุด โดยมีค่า Cmax และการกระจายตัวในระบบที่สูงที่สุด (Yu and Rupasinghe, 2021)
ในด้านความปลอดภัย การเสริม CBD ในสุนัขโดยทั่วไปถือว่าปลอดภัยและมีผลข้างเคียงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม มีการพบระดับ alkaline phosphatase (ALP) ที่สูงขึ้นซึ่งสัมพันธ์กับการเสริม CBD ในการศึกษาหลายงาน (Gamble et al., 2018; McGrath et al., 2019; Vaughn et al., 2020; Bradley et al., 2022; Alvarenga et al., 2023) ในงานวิจัยที่ผ่านมา การเพิ่มขึ้นของ ALP ที่สังเกตได้จากการได้รับ CBD เป็นระยะเวลานาน ถูกพิจารณาว่าเกิดจากการกระตุ้นกระบวนการเมแทบอลิซึมออกซิเดชันในตับที่ใช้เอนไซม์ cytochrome p450 โดยไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อเนื้อตับ อย่างไรก็ตาม สำหรับการวิจัยในอนาคต จำเป็นต้องสังเกตความเสียหายของตับจริง ๆ เพื่อยืนยันผลกระทบนี้
ความเข้มข้นของ CBD ในเลือดแตกต่างกันไปในแต่ละการศึกษา ซึ่งความแตกต่างนี้อาจเกิดจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น การดูดซึมของ CBD การกำหนดตารางเวลาเก็บตัวอย่างเลือด หรือความแตกต่างในกระบวนการเมแทบอลิซึมของ CBD ระหว่างสายพันธุ์สุนัข (McGrath et al., 2019; Martinez et al., 2020) โดยทั่วไป CBD ถูกขับออกจากร่างกายในปริมาณที่มากกว่าในอุจจาระเมื่อเทียบกับในปัสสาวะ ซึ่งไม่น่าแปลกใจเนื่องจากการดูดซึมของสารแคนนาบินอยด์ในระบบทางเดินอาหารที่ไม่สมบูรณ์หลังการรับประทาน และยังสอดคล้องกับข้อมูลจากมนุษย์ที่ระบุว่า 33% และ 16% ของปริมาณ CBD ที่ได้รับทั้งหมดถูกขับออกทางอุจจาระและปัสสาวะตามลำดับ (Samara et al., 1990)
จนถึงปัจจุบัน มีเพียงไม่กี่การศึกษาที่รายงานเกี่ยวกับเภสัชจลนศาสตร์ของ CBD ในแมวที่มีสุขภาพดี (Deabold et al., 2019; Kulpa et al., 2021; Coltherd et al., 2024) ในการศึกษาการให้ CBD ในขนาดที่เพิ่มขึ้น (2.8 มก./กก. – 30.5 มก./กก.) Kulpa et al. (2021) รายงานว่า Tmax เฉลี่ยอยู่ที่ 3.3 ชั่วโมง และ Cmax อยู่ที่ 250 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร เมื่อให้ CBD oil ที่ 25 มก./กก. ในทางกลับกัน การศึกษาการให้ CBD oil ที่ 2 มก./กก. วันละสองครั้ง นาน 12 สัปดาห์ พบค่า Tmax ที่ต่ำกว่า คือ 2 ชั่วโมง และ Cmax อยู่ที่ 43 นาโนกรัม/มิลลิลิตร (Deabold et al., 2019) ข้อมูลเกี่ยวกับเภสัชจลนศาสตร์ของ CBD ในแมวยังมีจำกัด อย่างไรก็ตาม การศึกษาที่มีอยู่รายงานว่าแมวสามารถทนต่อ CBD oil ได้ดี โดยพบผลข้างเคียงเล็กน้อยและไม่บ่อยนัก ผลข้างเคียงเหล่านี้ ได้แก่ น้ำลายไหลมากเกินไป (hypersalivation) อาเจียน การเลียตัวมากเกินไป และศีรษะสั่นระหว่างการให้ยา นอกจากนี้ แมวที่มีสุขภาพดีส่วนใหญ่ในงานวิจัยมีค่ามาร์กเกอร์การทำงานของตับที่อยู่ในเกณฑ์ปกติ (Deabold et al., 2019; Kulpa et al., 2021) อย่างไรก็ตามจากการศึกษา ของ Coltherd et al. (2024) การให้ CBD ในแมวสุขภาพดีเป็นระยะเวลา 26 สัปดาห์ พบระดับ alanine aminotransferase (ALT) ที่สูงขึ้น
ที่น่าสนใจคือ เมื่อเปรียบเทียบเภสัชจลนศาสตร์ของ CBD ที่ให้ทางการกิน ในขนาดยาเดียวกันระหว่างแมวและสุนัข Deabold et al. (2019) รายงานค่า t1/2 คือ 1.5 ชั่วโมงในแมว และ 1 ชั่วโมงในสุนัข ค่า Cmax อยู่ที่ 43 นาโนกรัม/มิลลิลิตรในแมว และ 102 นาโนกรัม/มิลลิลิตรในสุนัข และค่า Tmax อยู่ที่ 2 ชั่วโมงในแมว และ 1.4 ชั่วโมงในสุนัข เมื่อให้ขนาดยา 2 มก./กก. วันละสองครั้ง แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างสายพันธุ์ในด้านเภสัชจลนศาสตร์ โดยแมวแสดงการดูดซึม CBD ที่ช้ากว่าและมีระยะเวลาการกักเก็บที่นานกว่า ซึ่งค่า Cmax ในแมวต่ำกว่าสุนัขถึง 7 เท่า บ่งชี้ถึงความจำเป็นในการปรับคำแนะนำขนาดยาสำหรับแมวและสุนัขที่แตกต่างกัน
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของบทความเท่านั้น อ่านบทความฉบับเต็มพร้อมหัวข้อเรื่องการประยุกต์ใช้ CBD ในคลินิกต่อได้ที่ : https://readvpn.com/article/detail/2303
บทความโดย : สพ.ญ. ดร.ธันยพร พึงวิวัฒน์นิกุล - ชมรมสัตวแพทย์โภชนาการแห่งประเทศไทย
สำหรับคุณหมอสัตวแพทย์ที่ยังไม่ได้เป็นสมาชิก
ตอนนี้ทาง VPN มีโปรโมชั่นน่าสนใจอยู่นะ
💙 อ่านออนไลน์ จ่ายถูกกว่า -
สำหรับสัตวแพทย์ท่านที่สมัครสมาชิกแบบอ่านออนไลน์ (ไม่รับหนังสือ) จ่ายเพียง 1,500 บาท/ปี เท่านั้น และยังสามารถทำ CE online ในเว็ปไซต์ได้ตามปกติ
💙 อ่านจากเล่ม เน้นสะสม -
สำหรับท่านที่สมัคร/ต่ออายุสมาชิกแบบรับหนังสือ (สามารถใช้งานเว็ปไซต์และทำ CE online ได้ด้วย)
📍 ได้ทำ CE online มากกว่า 40 คะแนน/ปี
📍 ดาวโหลด E-book ไปอ่านได้
📍 ใช้งานเว็ปไซต์ได้เต็มรูปแบบ
📍 E-learning online course
ดูรายละเอียดแพคเกจ
และสมัครออนไลน์ด้วยตัวเองได้ที่ https://www.readvpn.com/register
หรือสอบถามเพิ่มเติม
add Line :

26/12/2024
วันอังคารที่ 24 ขออนุญาต ปิดเร็วกว่าปกติเล็กน้อยนะคะเปิดวันพุธหลังเที่ยงค่าขออภัยในความไม่สะดวกด้วยนะคะ
21/12/2024

วันอังคารที่ 24 ขออนุญาต ปิดเร็วกว่าปกติเล็กน้อยนะคะ
เปิดวันพุธหลังเที่ยงค่า
ขออภัยในความไม่สะดวกด้วยนะคะ

โพสต์ tt ในตำนาน  รับงานฉีดวัคซีนนอกสถานที่  #ทีมงานพระกระโดดกำแพงค่ะแซวๆ
15/12/2024

โพสต์ tt ในตำนาน รับงานฉีดวัคซีนนอกสถานที่ #ทีมงานพระกระโดดกำแพงค่ะแซวๆ

1589 likes, 25 comments. “วันนี้ต้องเกิด”

บีบมือเลยค่ะ  แพชชั่นล้วนๆจริงๆ
29/11/2024

บีบมือเลยค่ะ แพชชั่นล้วนๆจริงๆ

หมอดีๆรักษาฟรีมีมั้ย..
#แล้วที่เรียนฟรีกว่าจะจบได้มีที่ไหน?

เชื่อเถอะว่าหมอหลายคนต้องเคยไปทำงานจิตอาสา ทำหมันฟรี รักษาฟรีกันแทบทุกคน รู้มั้ยว่าการเรียนสัตวแพทย์
📌ใช้เวลาเรียน6ปี
📌ไม่มีทุนรัฐบาลอุดหนุนเหมือนแพทย์/ทันตแพทย์
📌อยากเรียนต่อ เก่งเพิ่ม ควักเงินเองซะส่วนใหญ่

แต่.. จบมาสายสัตว์เล็ก เงินเดือนเริ่มต้นไม่ได้มากมาย แค่ สองหมื่นปลายถึงสามหมื่นต้น
เจอเด็กๆน้องๆมากมาย มาถามหมออยากเป็นสัตวแพทย์ แทบจะบอกให้หนีไปด้วยซ้ำ 🤣 อยากรวยไปเรียนสายอื่นดูมั้ย

การรักษาสัตว์ ทำงานยากทั้งกับตัวสัตว์เองกับตัวเจ้าของ หลายคนที่ยังทำด้านนี้ส่วนมากด้วยใจและแพชชั่นล้วนๆ ถ้าเห็นหมอหมาแมวรวยๆ ดูดีๆนะ บ้านรวยอยู่แล้ว หรือไปทำธุรกิจอื่นด้วยรึป่าว

ขอพูดตรงๆที่จริงใจ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็จะเลือกเรียนสายอื่นค่ะ5555 🥺

จิตอาสารักษาฟรี ช่วยหมาแมวจร มีแทบทุกคลินิก เผลอๆหมอๆนี่ละซวยอีก โดนช่วยมาด้วยใจ แต่เอามารักษาแล้วทิ้ง เป็นภาระเป็นหมาแมวโรงบาลแทบทั้งนั้น

"เลี้ยงเมื่อพร้อมเถอะ"
สัตว์เลี้ยงมีค่าใช้จ่ายทั้งนั้น (ไม่นับกรณีจร) อย่าถามหาหมอรักษาฟรี ถามหาว่าถ้าเอาเค้ามาหนึ่งชีวิต อายุยืนเป็นสิบๆปีที่ดูแลตัวเองไม่ได้ จะเลี้ยงเค้าไหวรึป่าว

บีบมือ ขอส่งกำลังใจให้สัตวแพทย์ไทยทุกคน 🫂
เวลาเหนื่อยท้อให้มองหน้าหมาแมว นึกถึงเจ้าของที่น่ารักๆเข้าไว้ 😊❤️

เราต้องสู้ๆไปด้วยกันค่ะ5555 😂

29/11/2024

เมื่อพูดถึงภาวะน้ำเหลืองคั่งในช่องอก หรือ chylothorax ซึ่งน้ำในช่องอกดังกล่าวมีลักษณะของน้ำเป็นสีน้ำนม (milky white fluid) และสารน้ำส่วนใหญ่ประกอบด้วยไขมัน ดังนั้นจึงขอพูดเกี่ยวกับการย่อยและการดูดซึมไขมัน (lipid assimilation) ก่อน ซึ่งโดยปกติแล้ว สารอาหารประเภทไขมันที่สัตว์ได้รับประทานเข้าไปในร่างกายมักจะไม่ละลายน้ำ ดังนั้นการย่อยและการดูดซึมของไขมันจึงแตกต่างจากการย่อยและการดูดซึมของโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต โดยแบ่งออกเป็น 4 กระบวนการ คือ
1. Emulsification: การที่น้ำดี (bile) ทำให้ไขมันแตกตัว
2. Hydrolysis: hydrolytic enzyme – lipase ย่อยไขมัน ให้กลายเป็น free fatty acid และ monoglyceride
3. Micelle formation: free fatty acid และ monoglyceride จับกับ bile acid และ phospholipid รวมตัวเป็น micelles
4. Absorption: micelles ถูกดูดซึมผ่าน atypical membrane และเปลี่ยนรูปกลายเป็น chylomicron
หลังจากที่เปลี่ยนรูปเป็น chylomicrons ก็ได้ทำการเคลื่อนที่ออกจาก enterocyte ผ่าน basolateral membrane เข้าสู่ lateral space โดย chylomicrons ใหญ่เกินไปที่จะผ่านเข้าสู่ basement membrane ของ intestinal capillaries นั่นคือเหตุผลว่า ทำไมไขมันจึงไม่สามารถดูดซึมเข้าสู่ intestinal blood system ได้ ดังนั้น chylomicrons จึงเคลื่อนที่เข้าสู่ intestinal lymphatic ผ่านท่อน้ำเหลืองใหญ่ที่ผ่านกะบังลม แล้วเข้าสู่ thoracic duct ซึ่งสุดท้ายจะระบายเข้าสู่หลอดเลือดดำใหญ่ vena cava ดังนั้นด้วยวิธีนี้จึงทำให้ chylomicron เข้าสู่ blood vascular system ได้ในที่สุด
Chylothorax
ภาวะน้ำเหลืองคั่งในช่องอก หรือ chylothorax คือภาวะที่น้ำเหลืองปนไขมัน (chyle) จากระบบน้ำเหลืองของร่างกายมีการสะสมอยู่ที่ช่องอก (pleural cavity) โดยอย่างที่ได้เกริ่นไปในหัวข้อแรกว่า ลักษณะ chylous effusion ที่พบมีลักษณะขาวขุ่นเป็น milky white effusion ที่ประกอบไปด้วยไขมัน เนื่องจากเมื่อร่างกายได้รับไขมันในอาหาร ผ่านการย่อยและการดูดซึมแล้ว ไขมันได้ถูกลำเลียงผ่านทางท่อน้ำเหลืองเข้าสู่ thoracic duct ดังนั้นหากเส้นทางการลำเลียงนี้ถูกรบกวน หรือแรงดันในระบบท่อน้ำเหลืองดังกล่าวสูงขึ้น อาจส่งผลทำให้เกิดการรั่วไหลของ chyle เข้าสู่ช่องอก จนเกิดเป็นภาวะ chylothorax ได้
โดยสาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้เกิดการรบกวนการไหลของน้ำเหลืองภายใน thoracic duct ได้แก่ neoplasia, thymoma, fungal disease หรือ lung lobe torsion นอกจากนี้ chylothorax ยังสามารถเกิดได้จากการสูงขึ้นของ systemic venous pressure จาก right sided heart failure, heartworm disease, pericardial effusion, cardiomyopathy, tricuspid dysplasia หรือ thromboembolism disorders ส่วนสาเหตุที่ไม่ค่อยพบมากนัก คือ diaphragmatic hernia, thoracic surgery, trauma หรือ severe coughing or vomiting โดยหากได้ทำการ rule out สาเหตุทั้งหมดแล้ว สุดท้ายยังพบภาวะของ chylothorax อยู่ อาจสรุปได้ว่าเกิดจาก idiopathic chylothorax
นอกจากที่ chyle จะประกอบไปด้วย lipids แล้ว ยังมีส่วนประกอบอื่น ๆ ได้แก่ water, electrolytes, proteins และ fat soluble vitamin ดังนั้นการที่เกิดการรั่วของน้ำเหลืองและคั่งอยู่ในช่องอก ทำให้ร่างกายอาจเกิดภาวะ dehydration, electrolyte imbalance (hyponatremia, hyperkalemia), lymphopenia และ malnutrition from loss of fat and protein
ซึ่งโดยปกติแล้ว การรักษา chylothorax จะต้องมีการจัดการควบคู่หลายวิธี เช่น การรักษาทางยา (octreotide, rutin), thoracic duct ligation, cisterna chyli ablation, subtotal pericardiectomy, thoracic omentalization, pleurodesis รวมไปถึงการจัดการทางอาหารก็เป็นส่วนหนึ่งของการรักษาที่จะช่วยให้คุณภาพชีวิตของสัตว์ดีขึ้น แต่หากการจัดการดังกล่าว ไม่สามารถทำให้ภาวะคั่งของน้ำเหลืองในช่องอกดีขึ้นได้ การใส่ PleuralPort ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะทำให้สัตว์สามารถใช้ชีวิตได้
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของบทความเท่านั้น อ่านบทความฉบับเต็มพร้อมหัวข้อเรื่องการจัดการโภชนาการพร้อมภาพประกอบได้ที่ : https://readvpn.com/article/detail/2289
บทความโดย สพ.ญ.ธญวรรณ สตันยสุวรรณ
สำหรับคุณหมอสัตวแพทย์ที่ยังไม่ได้เป็นสมาชิก
ตอนนี้ทาง VPN มีโปรโมชั่นน่าสนใจอยู่นะ
💙 อ่านออนไลน์ จ่ายถูกกว่า -
สำหรับสัตวแพทย์ท่านที่สมัครสมาชิกแบบอ่านออนไลน์ (ไม่รับหนังสือ) จ่ายเพียง 1,500 บาท/ปี เท่านั้น และยังสามารถทำ CE online ในเว็ปไซต์ได้ตามปกติ
💙 อ่านจากเล่ม เน้นสะสม -
สำหรับท่านที่สมัคร/ต่ออายุสมาชิกแบบรับหนังสือ (สามารถใช้งานเว็ปไซต์และทำ CE online ได้ด้วย)
📍 ได้ทำ CE online มากกว่า 40 คะแนน/ปี
📍 ดาวโหลด E-book ไปอ่านได้
📍 ใช้งานเว็ปไซต์ได้เต็มรูปแบบ
📍 E-learning online course
ดูรายละเอียดแพคเกจ
และสมัครออนไลน์ด้วยตัวเองได้ที่ https://www.readvpn.com/register
หรือสอบถามเพิ่มเติม
add Line :

คลิป หมูเด้ง เด้งๆ 1 ชั่วโมง เพลินๆค่า
27/09/2024

คลิป หมูเด้ง เด้งๆ 1 ชั่วโมง เพลินๆค่า

25/09/2024

Encephalitozoonosis เป็นโรคติดเชื้อที่สำคัญของกระต่ายทั่วโลก ทั้งกระต่ายที่เป็นสัตว์เลี้ยงและกระต่ายฟาร์มเพื่อการบริโภค มีสาเหตุจากเชื้อ Encephalitozoon cuniculi ที่จัดเป็นโปรโตซัวในกลุ่ม Microsporidia อาศัยอยู่ในเซลล์แบบถาวร
โดยกระต่ายสามารถติดเชื้อนี้ได้จากการรับสปอร์ที่ปนเปื้อนจากสิ่งแวดล้อม เช่น อุจจาระและปัสสาวะของกระต่ายที่ติดเชื้อ ซึ่งเชื้อนี้มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อม ปัจจุบันพบการติดเชื้อได้ในสัตว์หลายชนิด เช่น สุนัข แมว ม้า ลา สัตว์ฟันแทะ รวมถึงมีการตรวจพบในมนุษย์ที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น เอดส์ เปลี่ยนถ่ายอวัยวะ มะเร็ง โดย “กระต่าย” เป็นสัตว์ที่พบการติดเชื้อมากที่สุดและบ่อยที่สุด แต่อย่างไรก็ดีการติดเชื้อส่วนใหญ่มักจะไม่แสดงอาการทางคลินิก
กระต่ายที่ติดเชื้อสามารถพบอาการทางคลินิกดังต่อไปนี้ ทั้งภาวะเฉียบพลันและเรื้อรัง ได้แก่ อาการทางระบบประสาท เช่น ไข้ขึ้นสูง, ชัก (seizure), อัมพฤกษ์ (paresis), คอเอียง (head tilt), สูญเสียการทรงตัว (ataxia), หมุนเป็นวงกลม (circling) หรือกลิ้ง (rolling) เป็นต้น อาการที่เกี่ยวข้องกับไตวาย (renal failure) เช่น ภาวะปัสสาวะมาก (polyuria), ดื่มน้ำมาก (polydipsia) หรือ ปัสสาวะบ่อย (pollakiuria) เป็นต้น นอกจากนี้อาจพบการอักเสบของตา เช่น ตากระตุก (nystagmus), ตาเป็นต้อชนิด phacoclastic uveitis ซึ่งอาจนำไปสู่ต้อหินชนิด secondary glaucoma และต้อกระจก (cataracts) ทั้งนี้อาจพบอาการเพียงระบบเดียวหรือหลายอาการร่วมกันก็ได้
ผลการตรวจเลือดเบื้องต้นที่จะช่วยสัตวแพทย์วินิจฉัยโรคนี้ ได้แก่ ในกรณีสัตว์ป่วยแบบเฉียบพลัน ค่า blood urea nitrogen (BUN) และ creatinine มักจะสูงขึ้นอย่างมาก แต่จำนวนเม็ดเลือดขาวกลับลดลงสวนทางกัน แต่สำหรับสัตว์ที่ป่วยเรื้อรัง หรือกว่าเจ้าของจะพามาพบสัตวแพทย์เวลาก็ผ่านไปนานแล้ว ผลเลือดมักถูกร่างกายปรับตัวจน “เกือบจะ” อยู่ในระดับปกติ ซึ่งอาจพบจำนวนเม็ดเลือดขาวสูงอยู่บ้าง, ค่า BUN และค่า creatinine สูงขึ้นนิดหน่อย ร่วมกับอาการทางคลินิกที่เห็นได้ชัดเจนอยู่ เช่น หัวเอียง ตากระตุก เลนส์ตาขุ่น เป็นต้น
เนื่องจากสัตว์ที่ติดเชื้อส่วนใหญ่มักจะไม่แสดงอาการทางคลินิก ดังนั้นจึงต้องใช้วิธีการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อยืนยันการติดเชื้อหรือผลการวินิจฉัยของสัตวแพทย์ โดยจะใช้การตรวจหาระดับภูมิคุ้มกันต่อโรคเนื่องจากมีความแม่นยำ และเทคนิคทางด้านซีรัมวิทยาที่นิยมใช้ในประเทศไทย คือ Enzyme-linked immunosorbent assay (ELISA)
ซึ่งหน่วยชันสูตรโรคสัตว์กำแพงแสน คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ก็รับตัวอย่าง whole blood 1 มิลลิลิตร ที่เก็บรักษาในอุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส และเมื่อส่งถึงห้องปฏิบัติการจะดำเนินการปั่นแยกเพื่อเอาซีรัม โดยปั่นเหวี่ยงที่ความเร็ว 5,000 รอบต่อนาที เป็นเวลา 10 นาที เพื่อเก็บส่วนใสด้านบน และนำไปเก็บรักษาไว้ที่อุณหภูมิ -20 องศาเซลเซียส เพื่อรอการตรวจหาแอนติบอดีต่อไป
จากนั้นก็นำซีรัมกระต่ายที่เก็บรักษาไว้ มาตรวจด้วยชุดตรวจสอบ Encephalitozoon cuniculi ELISA test kit (XpressBio, USA) โดยเจือจางในอัตรา 1:50 ปริมาณ 100 ไมโครลิตรลงในหลุม positive viral antigen และหลุม negative control antigen บ่มที่อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 45 นาที จากนั้นล้างด้วยเครื่อง ELISA WASHER (Tecan,Switzerland) จำนวน 5 รอบ เติม peroxidase conjugate ปริมาณ 100 ไมโครลิตรต่อหลุม
นำไปบ่มต่อที่อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 45 นาที จากนั้นล้างด้วยเครื่อง ELISA WASHER (Tecan,Switzerland) จำนวน 5 รอบเติม ABTS peroxidase substrate จำนวน 100 ไมโครลิตร นำไปบ่มที่อุณหภูมิ 20-25 องศาเซลเซียสในที่มืด เป็นเวลา 30 นาที เติม stop solution จำนวน 25 ไมโครลิตร นำไปวัดค่าการดูดกลืนแสงที่ 405 นาโนเมตรด้วยเครื่อง ELISA reader (Tecan,Switzerland)
การแปลผลให้นำค่าการดูดกลืนแสงของหลุม positive viral antigen และหลุม negative control antigen มาลบกัน โดยตัวควบคุมลบ (negative control) และตัวควบคุมบวก (positive control) ต้องมีค่าการดูดกลืนแสงน้อยกว่าหรือเท่ากับ 0.25 และมีค่าการดูดกลืนแสงมากกว่าหรือเท่ากับ 0.6 ตามลำดับ สำหรับตัวอย่าง เมื่อนำค่าการดูดกลืนแสงของหลุม positive viral antigen และหลุม negative control antigen มาลบกันแล้ว มีค่าการดูดกลืนแสงมากกว่าหรือเท่ากับ 0.3 ถือว่าผลเป็นบวก และหากน้อยกว่า 0.3 ถือว่าผลเป็นลบ
ผลการตรวจ ELISA จากกระต่ายจำนวน 912 ตัวอย่าง โดยคลินิกสัตว์เลี้ยงชนิดพิเศษ โรงพยาบาลสัตว์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน ช่วงระหว่างเดือนมิถุนายน พ.ศ.2561 – สิงหาคม พ.ศ.2567 ซึ่งเก็บตัวอย่างจากกระต่ายที่เข้ารับการตรวจรักษา ทั้งแสดงอาการทางคลินิกดังที่กล่าวไว้ข้างต้น และสุ่มตรวจจากกระต่ายที่ไม่มีอาการใด ๆ เลยด้วย พบว่ากระต่าย 49.01% ให้ผลบวกต่อเชื้อ Encephalitozoon cuniculi โดยอายุ เพศ สายพันธุ์ ไม่มีผลต่อการตรวจแอนติบอดีต่อเชื้อนี้
โดยเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ ก็ถือว่าการระบาดของเชื้อ E. cuniculi ในกระต่ายของประเทศไทยอยู่ในระดับสูง ใกล้เคียงกับประเทศอังกฤษ เยอรมัน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามความนิยมเลี้ยงกระต่ายของคนรุ่นใหม่ที่นิยมเลี้ยงสัตว์เป็นลูก ซึ่งมักจะมีงานพบปะเจ้าของกระต่ายกันตามสวนสาธารณะอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งอาจเป็นบ่อเกิดการระบาดของโรคได้
การวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการที่มีในประเทศไทยอีกวิธีหนึ่ง ได้แก่ การตรวจหาเชื้อ Encephalitozoon cuniculi ในปัสสาวะกระต่ายด้วยวิธี real-time PCR โดยจะตรวจช่วงที่มีการขับเชื้อออกมาหลังติดเชื้อ 3 เดือนแรก ซึ่งหน่วยชันสูตรโรคสัตว์กำแพงแสน คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ก็รับตัวอย่างนี้ด้วย
สิ่งที่สัตวแพทย์ต้องเก็บไว้ในใจทุกครั้ง คือ ยังมีเชื้อโรคอื่น ๆ หรือการป่วยด้วยสาเหตุอื่น ๆ อีกมากมาย ที่ทำให้กระต่ายป่วยและแสดงอาการทางคลินิกแบบเดียวกันนี้ได้ เช่น Pasteurella multocida, Staphylococcus aureus, Pseudomonas aeruginosa, Escherichia coli, Toxoplasma gondii, Listeria monocytogenes, lymphosarcoma หรือ metastatic neoplasia, lead toxicity, hydrocephalus, cerebral infarcts, hepatic encephalopathy, bacterial otitis interna/externa, traumatic rupture of the tympanic bulla, aminoglycoside-mediated ototoxicity, idiopathic vestibular disease และ enterotoxemia ดังนั้นการวินิจฉัยแบบตรงจุดด้วย enzyme-linked immunosorbent assay (ELISA) และ real-time PCR จึงช่วยสัตวแพทย์ได้อย่างมาก
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของบทความเท่านั้น อ่านบทความฉบับเต็มพร้อมวิธีการรักษาต่อได้ที่ : https://readvpn.com/article/detail/2265
บทความโดย : น.สพ. เกษตร สุเตชะ
สำหรับคุณหมอสัตวแพทย์ที่ยังไม่ได้เป็นสมาชิก
ตอนนี้ทาง VPN มีโปรโมชั่นน่าสนใจอยู่นะ
💙 อ่านออนไลน์ จ่ายถูกกว่า -
สำหรับสัตวแพทย์ท่านที่สมัครสมาชิกแบบอ่านออนไลน์ (ไม่รับหนังสือ) จ่ายเพียง 1,500 บาท/ปี เท่านั้น และยังสามารถทำ CE online ในเว็ปไซต์ได้ตามปกติ
💙 อ่านจากเล่ม เน้นสะสม -
สำหรับท่านที่สมัคร/ต่ออายุสมาชิกแบบรับหนังสือ (สามารถใช้งานเว็ปไซต์และทำ CE online ได้ด้วย)
📍 ได้ทำ CE online มากกว่า 40 คะแนน/ปี
📍 ดาวโหลด E-book ไปอ่านได้
📍 ใช้งานเว็ปไซต์ได้เต็มรูปแบบ
📍 E-learning online course
ดูรายละเอียดแพคเกจ
และสมัครออนไลน์ด้วยตัวเองได้ที่ https://readvpn.com/user/plan
หรือสอบถามเพิ่มเติม
add Line :

21/09/2024

การอับเสบเป็นกระบวนการสำคัญของร่างกายที่เกิดขึ้นตามมาจากความเจ็บป่วยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น การติดเชื้อ การผ่าตัด การบาดเจ็บหรือกระทบกระแทก มะเร็ง และโรคทางภูมิคุ้มกันของร่างกาย ดังนั้นการมี marker ที่มีความจำเพาะและความไวต่อการอักเสบ มาบ่งชี้และติดตามการอักเสบในสัตว์ป่วย จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้คุณหมอสามารถรักษา วินิจฉัย ติดตามและพยากรณ์โรคได้ดีมากขึ้น สำหรับ marker ตัวตึงเรื่องการอักเสบที่จะแนะนำให้รู้จักในบทความนี้ คงหนีไม่พ้น C-Reactive Protein หรือที่เราเรียกกันสั้น ๆ ว่า CRP นั่นเอง
CRP แรกเริ่มเดิมทีเป็นใครมาจากไหนกันนะ
C-Reactive Protein (CRP) เริ่มเป็นที่รู้จักครั้งแรกในปี ค.ศ. 1930 ในผู้ป่วยที่มีภาวะปอดอักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรีย (pneumococcal pneumonia) และหลังจากนั้นก็มีการศึกษาในผู้ป่วยอย่างแพร่หลายมากขึ้นเรื่อย ๆ จากการใช้ CRP มาเป็น marker การอักเสบ และนำมาช่วยในการวินิจฉัยโรคติดเชื้อต่อมา CRP นั้นเป็นโปรตีนที่สร้างขึ้นมาจากตับ โดยจะสร้างขึ้นหลังจากที่ถูกกระตุ้นจากสารสื่ออักเสบ เช่น IL-1, IL-6 และ tumor necrosis factor α (TNF- α) เพื่อตอบสนองต่อกระบวนการอักเสบแบบเฉียบพลัน และการบาดเจ็บของร่างกาย
ดังนั้น CRP จึงจัดอยู่ในกลุ่ม acute phase protein (APP) โปรตีนในกลุ่มนี้จะมีความพิเศษตรงที่ตอบสนองต่อการอักเสบได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่มีค่าครึ่งชีวิตสั้น แน่นอนว่าโปรตีนในกลุ่มนี้นอกจาก CRP แล้ว ยังมีโปรตีนตัวอื่น ๆ อีก เช่น haptoglobin, serum amyloid A (SAA) ที่ใช้เป็น marker เรื่องการอักเสบในแมว และ fibrinogen
การเปลี่ยนแปลงค่าของ APP จะเป็นลักษณะจำเพาะในแต่ละสปีชีส์ ซึ่ง CRP เองจัดว่าเป็น APP ที่เป็นตัวหลักและมีความจำเพาะมากที่สุดสำหรับสุนัข (McClure et al., 2013) CRP ในสุนัขจะมีขนาดประมาณ 100 kDa ประกอบไปด้วย 5 subunit ประกอบกันเป็นลักษณะ pentamer CRP โดยจะมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 4-6 ชั่วโมงหลังจากที่มีการอักเสบ และค่าจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงระดับสูงที่สุดที่ 24-48 ชั่วโมง (Malin and Witkowska-Piłaszewicz, 2022) จากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นได้ว่า CRP ในสุนัขนั้นตอบสนองต่อการอักเสบได้อย่างรวดเร็ว และบ่งชี้เรื่องการอักเสบได้แบบ real-time เลยทีเดียวค่ะ
CRP มีประโยชน์ทางคลินิกในสัตวแพทย์อย่างไรกัน
CRP มีประโยชน์ทางคลินิก หลัก ๆ เลยคือช่วยในการวินิจฉัยถึงภาวะการอักเสบ CRP นั้นจัดว่าเป็น APP ตัวหลักและสำคัญมากในสุนัข ในสุนัขปกติ ค่า CRP จะน้อยว่า 20 mg/L หรือ 20 µg/ml ในกรณีที่มีการอักเสบ ค่า CRP จะเพิ่มขึ้น โดยจะพุ่งทะยานไป 10 ถึง 1000 เท่าเลยทีเดียว โดยเฉพาะในช่วงที่มีการตอบสนองต่อการอักเสบสูงที่สุด หมายถึงในช่วง 24 และ 48 ชั่วโมงนั่นเอง ดังนั้นเมื่อคุณหมอตรวจเลือดสุนัขแล้วพบค่าสูง จะช่วยให้คุณหมอมั่นใจได้ว่า คุณหมอกำลังเผชิญกับปัญหาการอักเสบอยู่แน่นอน
กลุ่มโรคที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบที่เราจะพบว่า CRP สูง ได้แก่ โรคที่เกิดจากการติดเชื้อ ไม่ว่าจะเป็นแบคทีเรีย ไวรัส และโรคที่ไม่สัมพันธ์กับการติดเชื้อ เช่น inflammatory bowel disease (IBD), ข้ออักเสบ (arthritis), immune-mediated hemolytic anemia (IMHA), ตับอ่อนอักเสบแบบเฉียบพลัน ในทางกลับกันในกลุ่มโรคที่ไม่ได้สัมพันธ์กับการอักเสบ เช่น โรคเบาหวาน, นิ่ว, ลิ้นหัวใจรั่ว (mitral valve insufficiency), หลอดลมตีบ (tracheal collapse), ต่อมหมวกไตชั้นนอกทำงานมากผิดปกติ (hyperadrenocorticism), ต่อมหมวกไตชั้นนอกทำงานน้อยกว่าปกติ (hypoadrenocorticism), ภาวะโพรงสมองคั่งน้ำ (hydrocephalus), ภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์ (hypothyroidism) ก็ควรจะไม่พบ CRP ที่ผิดปกติ ในกรณีที่คุณหมอเจอโรคเหล่านี้ แต่กลับพบว่า CRP สูงอย่างมีนัยสำคัญเป็นไปได้ว่าคุณหมอกำลังได้อย่างอื่นแถมมาด้วย เช่น มีการติดเชื้อแทรกซ้อนเข้ามาค่ะ
นอกจากจะช่วยวินิจฉัยเรื่องการอักเสบแล้ว CRP ยังช่วยอะไรได้อีกบ้างนะ
เนื่องด้วยความเป็น acute phase protein ของ CRP ทำให้ระดับของ CRP เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากที่มีการอักเสบ และลดลงอย่างรวดเร็วเมื่อการอักเสบนั้นดีขึ้นเช่นกัน (ขึ้นเร็ว ลงเร็ว) โดยพบว่า CRP จะลดลงในช่วง 18 ถึง 24 ชั่วโมง หลังจากการได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม จึงทำให้ระดับของ CRP นั้นช่วยในการติดตามความเป็นไปของโรคได้ (Sproston and Ashworth, 2018) ถ้าสุนัขนั้นมีค่า CRP ที่ลดลงหลังจากการรักษาจะช่วยให้คุณหมอมั่นใจได้ว่า คุณหมอมาถูกทางแล้ว ในขณะเดียวกันถ้าค่าไม่ลดลงหรือเพิ่มขึ้น นั่นหมายถึงคุณหมอจะต้องคิดพิจารณาเรื่องแนวทางการวินิจฉัยโรคและการรักษาดูอีกครั้ง
ดังนั้นการตรวจค่า CRP ถ้าพบความผิดปกติ จะแนะนำให้ตรวจซ้ำในช่วง 18-24 ชั่วโมงหลังจากการรักษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตรวจติดตามหลังจากการใช้ยาปฏิชีวนะในกลุ่มโรคติดเชื้อ หรือการใช้ยา steroid ในกลุ่มโรคภูมิคุ้มกัน เช่น IMHA พบว่าในเคส IMHA ค่า CRP จะสูงขึ้นได้ถึง 25 เท่าเลยทีเดียว ซึ่งในขณะที่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ค่าจะลดลงเป็นปกติ ภายใน 2 สัปดาห์ (Griebsch, 2008)
สำหรับกลุ่มโรคมะเร็ง เช่น มะเร็งเต้านม (mammary tumors), มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (lymphoma), mast cell tumors, sarcomas และมะเร็งระยะแพร่กระจาย พบว่าค่า CRP นั้นขึ้นเหมือนกัน ไม่ใช่แค่สูงเท่านั้นนะคะ CRP ยังบอกรายละเอียดเพิ่มเติมบางอย่างได้ เช่น ค่าที่สูงมาก ๆ (มากกว่า 100 mg/L) มักจะพบกับมะเร็งมีที่การแพร่กระจาย มะเร็งชนิดปฐมภูมิที่มีแผลเปิด และมะเร็งชนิดที่ดุ ๆ เช่น mast cell tumor หรือ sarcoma ค่ะ (Chase et al., 2012; Hindenberg et al., 2020)
นอกจากนั้น CRP ยังสามารถนำมาใช้เป็นตัวช่วยพยากรณ์โรคได้อีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโรคตับอ่อนอักเสบแบบเฉียบพลัน ระดับของ CRP สัมพันธ์กับความรุนแรงของโรค โดยพบว่ากลุ่มสุนัขที่เสียชีวิต มีค่า CRP สูงกว่ากลุ่มสุนัขที่รอดชีวิต รวมถึงกลุ่มสุนัขที่มีค่า CRP สูงอย่างต่อเนื่องจะมีการพยากรณ์โรคที่ไม่ดี สำหรับสุนัขในกลุ่ม systemic inflammatory response syndrome (SIRS) หรือการติดเชื้อในกระแสเลือด (sepsis) การลดลงของ CRP ในช่วง 3 วัน นั้นมีความสัมพันธ์กับการรอดชีวิต จึงสามารถนำมาช่วยพยากรณ์การรอดชีวิตได้ค่ะ (Gebhardt et al., 2009; Sato et al., 2017)
ประโยชน์ของ CRP ที่เจ๋งมาก ๆ อีกอย่างนึงก็คือการใช้ในกรณีหลังผ่าตัด หลังผ่าตัดแล้วการบาดเจ็บหรือการอักเสบของเนื้อเยื่อจะลดลงเรื่อย ๆ ซึ่งก็ควรจะลดลง 3-5 วันหลังจากผ่าตัด และเข้าสู่ค่าปกติประมาณภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่ถ้าค่าเพิ่มขึ้นหรือไม่ลดลงล่ะคะ มันอาจหมายถึงคุณหมอกำลังจะเจอปัญหาแทรกซ้อนหลังผ่าตัด เช่น การติดเชื้อแทรกซ้อน ซึ่งตรงนี้ถ้าเรารู้ก่อน เราจะไหวตัวทันและปรับเปลี่ยนแผนการรักษาได้ทันค่ะ (Nakamura et al., 2008)
แล้วทำไมต้องตรวจ CRP เพิ่มด้วยนะ ดูแค่ค่าเม็ดเลือดขาวหรือ parameter อื่น ๆ ได้ไหม
ส่วนมากแล้วในทางปฏิบัติ คุณหมอมักจะประเมินการอักเสบจากค่าเลือดต่าง ๆ เช่น การเพิ่มขึ้นของเม็ดเลือดขาว(white blood cell; WBC), โกลบูลิน และการลดลงของอัลบูมินอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม CRP มีความโดดเด่นกว่าค่าอื่น ๆ ในเรื่องของความไว ในหลาย ๆ ครั้งพบว่าค่า CRP จะสูงขึ้นให้เราเห็นเร็วกว่าการเพิ่มขึ้นของเม็ดเลือดขาวและการมีไข้เสียอีก จากการศึกษาในสุนัขที่เป็นหมอนรองกระดูกอักเสบ (discospondylitis) จากการติดเชื้อแบคทีเรีย พบว่า สุนัข 14/16 ตัวมีค่า CRP เพิ่มขึ้นและมีค่าเฉลี่ยสูงถึง 100.7 mg/L ในขณะที่สุนัข 12/16 ตัวมีไข้ และมีเพียง 6/16 ตัวที่มีเม็ดเลือดขาวสูง (Nye et al., 2020) และจากการศึกษาในสุนัขป่วยหลาย ๆ โรค เช่น มดลูกอักเสบ (pyometra), การอักเสบของชั้นไขมันใต้ผิวหนัง (panniculitis), ตับอ่อนอักเสบแบบเฉียบพลัน (acute pancreatitis), ข้ออักเสบ (polyarthritis) และมะเร็งชนิด hemangiosarcoma พบว่า CRP จะขึ้นสูงในกลุ่มโรคดังกล่าว ในขณะที่ยังไม่เจอความผิดปกติของค่าเม็ดเลือดขาว และ band neutrophils (Nakamura et al., 2008)
ยังไม่หมดแค่นี้นะคะ จากการศึกษากรณีหลังจากการรักษาด้วยการผ่าตัด ก็พบว่า CRP ลดลงหลังผ่าตัด ในขณะที่ค่าเม็ดเลือดขาวยังคงสูงอยู่ และอีกการศึกษาเทียบกับ APP ตัวอื่น ๆ เช่น serum amyloid A (SAA), haptoglobin (Hp) และ fibrinogen หลังจากการรักษาพบว่า CRP นั้นลดลงภายใน 1 วัน ในขณะที่ APP ตัวอื่นจะใช้เวลาอีกซักพักคือ 2 วันขึ้นไป ถึงจะลดลงค่ะ จะเห็นได้ว่า CRP เป็นภาพสะท้อนของการอักเสบได้ดีกว่า ไวกว่า และยังสะท้อนผลของการรักษาได้ดีกว่า ไวกว่าอีกด้วย แต่ก็อย่างที่เข้าใจกันนะคะ ถึงแม้ว่าจะมีความไวมากก็จริง แต่ถ้าถามถึงความจำเพาะ เค้าคงให้เราไม่ได้ เพราะไม่ว่าจะอักเสบจากอะไรก็ตามที่มีการหลั่งสารสื่ออักเสบ CRP ก็ขึ้นได้หมดค่ะ
เราสามารถตรวจวัดค่า CRP ได้อย่างไร เก็บตัวอย่างอย่างไร และแปลผลอย่างไรดี
ปัจจุบันมี in-house lab ที่รองรับการตรวจ CRP อย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็น Catalyst CRP Test (IDEXX), Canine CRP Immunoassay (Gentian) และ Vcheck Canine CRP (BIONOTE) ซึ่งสามารถตรวจได้ง่ายและรวดเร็ว ทั้งนี้การแปลผลตรวจ ควรอิงผลค่า reference จากแลปนั้น ๆ เช่น Vcheck Canine CRP (BIONOTE) จะอ้างอิงค่าผิดปกติที่มากกว่า 30 mg/L ค่าปกติที่น้อยกว่า 20 mg/L และค่าที่อยู่ระหว่าง 20-30 mg/L จัดอยู่ใน gray zone ข้อดีอย่างหนึ่งของ CRP คือค่าที่ได้จะเป็นตัวเลข ทำให้ง่ายต่อการเปรียบเทียบหรือตรวจติดตาม จึงมีการแนะนำให้ตรวจ CRP ในสุนัขปกติ เพื่อเป็นค่า baseline ของตัวเอง เพื่อที่จะเปรียบเทียบกับการตรวจในครั้งถัด ๆ ไป
เนื่องจากค่าปกติของแต่ละตัวนั้นมีความแตกต่างกัน ซึ่งหลาย ๆ ประเทศก็มีการตรวจกันเป็นประจำแล้ว อย่างไรก็ตามในกรณีที่คุณหมอส่งตรวจแลปที่ใช้เครื่องตรวจหรือวิธีตรวจที่แตกต่างกัน จะไม่สามารถนำค่ามาเปรียบเทียบกันได้ จึงแนะนำว่าถ้าคุณหมอต้องการตรวจติดตามค่า CRP ในสุนัขตัวหนึ่ง ควรใช้แลปเดียวในการเปรียบเทียบค่าค่ะ สำหรับตัวอย่างที่ใช้ในการส่งตรวจจะเป็นซีรัมหรือพลาสมาขึ้นอยู่กับแลปที่คุณหมอใช้ตรวจนะคะ กรณีที่ไม่ได้ตรวจเองทันทีในโรงพยาบาล แนะนำให้เก็บตัวอย่างไว้ที่ 2-8°C และไม่ควรเก็บนานเกิน 2 สัปดาห์
ข้อควรคำนึงอีกอย่างของค่า CRP คือในกรณีที่สุนัขตั้งท้อง หรือในช่วง 30–45 วันหลังจากตกไข่ ค่าอาจจะพุ่งสูงขึ้นได้ถึง 2-4 เท่า (70–90 mg/L) (Kimura and Kotani, 2018) และในสุนัขที่ออกกำลังกายอย่างหนักพบว่า ค่า CRP สูงขึ้นกว่าก่อนออกกำลังกายถึง 4 เท่าเช่นกันค่ะ (Casella et al., 2013)
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของบทความเท่านั้น อ่านบทความฉบับเต็มพร้อมหัวข้ออื่นๆ ที่พิสูจน์ความตึงของ CRP ต่อได้ที่ : https://readvpn.com/article/detail/2268
บทความโดย : อ. สพ.ญ. ดร.ชูติรัตน์ ต่อสหะกุล
สำหรับคุณหมอสัตวแพทย์ที่ยังไม่ได้เป็นสมาชิก
ตอนนี้ทาง VPN มีโปรโมชั่นน่าสนใจอยู่นะ
💙 อ่านออนไลน์ จ่ายถูกกว่า -
สำหรับสัตวแพทย์ท่านที่สมัครสมาชิกแบบอ่านออนไลน์ (ไม่รับหนังสือ) จ่ายเพียง 1,500 บาท/ปี เท่านั้น และยังสามารถทำ CE online ในเว็ปไซต์ได้ตามปกติ
💙 อ่านจากเล่ม เน้นสะสม -
สำหรับท่านที่สมัคร/ต่ออายุสมาชิกแบบรับหนังสือ (สามารถใช้งานเว็ปไซต์และทำ CE online ได้ด้วย)
📍 ได้ทำ CE online มากกว่า 40 คะแนน/ปี
📍 ดาวโหลด E-book ไปอ่านได้
📍 ใช้งานเว็ปไซต์ได้เต็มรูปแบบ
📍 E-learning online course
ดูรายละเอียดแพคเกจ
และสมัครออนไลน์ด้วยตัวเองได้ที่ https://readvpn.com/user/plan
หรือสอบถามเพิ่มเติม
add Line :

^_^
06/09/2024

^_^

ที่อยู่

130/88 ถนนพิบูลสงคราม สวนใหญ่ นนทบุรี
Nonthaburi
11000

เวลาทำการ

อังคาร 10:00 - 20:30
พุธ 10:00 - 20:30
พฤหัสบดี 10:00 - 20:30
ศุกร์ 10:00 - 20:30
เสาร์ 10:00 - 20:30
อาทิตย์ 10:00 - 20:30

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ มิตรแท้ รักษาสัตว์ผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง มิตรแท้ รักษาสัตว์:

วิดีโอทั้งหมด

แชร์