VetSikkha

VetSikkha FB page นี้จัดตั้งขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในงานการสัตวแพทย์และการเลี้ยงสัตว์
(99)

Vet หมายถึงสัตวแพทย์ Sikkha เป็นภาษาบาลีหมายถึง ศึกษา FB page จึงก่อตั้งขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้และแลกเปลี่ยนความรู้ในหมู่วิชาชีพสัตวแพทย์เพื่อสร้างความเข้มแข็งของประเทศในด้านสุขอนามัยของสัตว์เลี้ยง

Prepilled cortisol สำหรับ monitor Cushing disease ต้องใช้ร่วมกับการประเมิน clinical score นะครับ ปัจจุบันได้รับการยอมรับ...
18/11/2024

Prepilled cortisol สำหรับ monitor Cushing disease ต้องใช้ร่วมกับการประเมิน clinical score นะครับ ปัจจุบันได้รับการยอมรับกันมากขึ้น มี protocol ที่ออกโดย Dechra อย่างเป็นทางการแล้ว สามารถหา downoad กันได้จาก official website ครับ
คุณๆคนไหนไม่รู้จัก prepill cortisol อ่านตรงนี้ 👇
https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=1108195222897395&id=100044325014875
ใครอยากได้ link ไป download เอกสาร .pdf download ตรงนี้ 👇
https://www.canine-cushings.co.uk/monitoring



ใครไม่เคยเจอ Spondylosis Deformans แปลว่าไม่ได้ทำงาน !อันนี้เป็นชื่อโรคแบบเต็มๆ ที่หลายๆท่านอาจชอบเรียกย่อๆว่า spondylos...
15/11/2024

ใครไม่เคยเจอ Spondylosis Deformans แปลว่าไม่ได้ทำงาน !
อันนี้เป็นชื่อโรคแบบเต็มๆ ที่หลายๆท่านอาจชอบเรียกย่อๆว่า spondylosis ครับ ชื่อเต็มออกจะไพเราะเพราะพริ้ง เจ้า SD นี้เป็นความเสื่อมของกระดูกสันหลังชนิดที่ปลอดการอักเสบแต่มีการหนาตัวเพิ่มจำนวนของเซลล์ขึ้นที่กระดูกอ่อนบริเวณข้อต่อของ vertebral column ครับ เราจะพบ SD จากการดูภาพถ่ายรังสีของกระดูกสันหลังโดย landmark สำคัญคือการพบกระดูกงอก (osteophyte) ที่เหมือนพยายามจะเชื่อมเข้าด้วยกันระหว่างกระดูกสันหลัง (vertebrae) สองท่อน ทำให้ดูเป็น “จงอย”หรือ “สะพาน” ระหว่างกระดูกสันหลังสองท่อนนั่นเอง
ภาพที่คล้ายๆกันแต่รุนแรงกว่าคือ DISH หรือ diffuse idiopathic skeletal hyperostosis ซึ่งจะปรากฏภาพถ่ายรังสีที่มีการเชื่อมกันของกระดูกสันหลังและอาจเลยเถิดไปถึงกระดูกระยางค์แขนขาด้วย มีการ ossify เนื้อเยื่ออ่อนที่เกี่ยวข้องกับตัวกระดูกเพิ่มเติมไปอีก เช่น ventral longitudinal ligament กระดูกใหม่ที่เกิดขึ้นมานี้อาจเรียกว่า ”enthesiophyte“ ซึ่งจะเห็นการเชื่อมต่อเป็นแนวยาวใต้กระดูกสันหลังอย่างนี้ 4 ชิ้นขึ้นไป
#อาการทางคลินิก
แม้รอยโรคที่ปรากฏใน film อาจดูเลวร้ายแต่สัตว์ส่วนมากเลยที่มีภาวะ spondylosis deformans ไม่ค่อยมีอาการนอกจากดูตึงๆเกร็งที่บริเวณกระดูกสันหลังเพราะขาดความยืดหยุ่นโค้งงอ อาการปวดอาจพบได้เป็นส่วนน้อยเท่านั้น ดังนั้นหากเรา xray สัตว์ที่มีอาการปวดหลังและพบ spondylosis deformans โปรดให้การ investigate เพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุของอาการปวดว่าจากโรคอื่นๆหรือไม่ก่อนที่จะฟันธงว่าเป็นการปวดที่เกิดจาก spondylosis นะครับ
ขณะที่ spondylosis deformansไม่ค่อยจะทำให้สัตว์มีอาการปวด ตรงกันข้าม DISH มีส่วนสัมพันธ์กับอาการปวดเกร็งที่หลังมากกว่า สัตว์อาจแสดงอาการผิดปกติได้ทั้งทางระบบประสาทและข้อกระดูก เพราะ DISH นั้นมีรอยโรคที่เกี่ยวข้องกับเยื่อหุ้มกระดูก (periosteum) จนเลยเถิดไปถึงการพอกของแคลเซี่ยม (ossification) ในเนื้อเยื่ออ่อนรอบๆกระดูกอีกด้วยครับ นั่นทำให้ความเจ็บปวดเกิดขึ้นซึ่งแตกต่างจาก spondylosis deformans
#กลไกการเกิดโรค
มีรายงานการพบ spondylosis deformans จากภาพถ่ายเอกซ์เรย์ไม่เกิน 1 ใน 3 ของจำนวนสุนัขที่มีอายุ 2 ปี แต่เมื่อสำรวจโดยการผ่าซาก (necropsy) ในสุนัขที่อายุประมาณ 9 ปีจะพบมากขึ้นเป็น 3 ใน 4 ราย คือ 75% เลยทีเดียว เราสามารถพบ spondylosis deformans และ DISH ร่วมกันได้ โดยพบว่า 14% ของสุนัขที่พบ spondylosis deformans จะมี DISH ร่วมด้วยขณะที่ 67% ของสุนัขที่พบ DISH จะมี spondylosis deformans ร่วมด้วย
แม้พันธุ์ที่พบบ่อยคือ Boxer, German Shepherd, Cocker Spaniel, Flat Coated Retriever และ Airedale Terrier แต่ก็ไม่ได้ limit การพบโรคนี้แค่ในพันธุ์เหล่านี้นะครับ เราพบรอยโรค (lesion) ได้บ่อยที่กระดูกสันหลังท่อนคอ (cervical) และอกต่อกับเอว (thoracolumbar) แต่ว่าส่วนอื่นๆก็สามารถพบได้เช่นกันนะ
Spondylosis deformans อาจ associate กับภาวะอื่นๆ เช่น trauma และ IVDD เป็นต้น IVDD (Hansen) type II มีโอกาสที่จะพบร่วมกับ spondylosis deformans เมื่อเทียบกับ (Hansen) type I การเกิดร่วมกันนี้มีความเชื่อว่าอาจเป็น coincidence ก็ได้หรือเป็นเหตุเป็นผล (cause-effect) ทางชีวกลศาสตร์ของกระดูกสันหลัง (vertebral column biomechanics)
มีความเข้าใจว่า spondylosis deformans มีจุดเริ่มต้นมาจากการความผิดปกติของรอยต่อ (attachment) ระหว่าง annulus fibrosus และ vertebral endplate ที่มีการฉีกขาดออกจากกันร่วมกับการเกิด ventral หรือ ventrolateral disc herniations แบบจ้อยๆ โดยจะมีการ form osteophyte ขึ้นที่บริเวณนั้น ส่วนมากกระดูกสร้างใหม่นี้จะยื่นออกไปด้านนอก vertebral canal มากกว่าครับ ไม่ค่อยพบการยื่นเข้าไปใน canal และกดไขสันหลังดังที่หลายคนเข้าใจ ดังนั้นเราจะเห็นว่าหากจะกด neural tissue ได้ก็มักจะเป็น nerve root ตรงบริเวณ intervertebral formamina มากกว่า spinal cord ถึงกระนั้นที่ตำแหน่งรอยต่อกระดูกสันหลังบั้นเอวต่อกับกระเบนเหน็บ (lumbosarcral) ก็มีรายงานการยื่นเข้าใน canal ที่จุดนี้ซึ่งแน่นอนว่าใน canal นั้นเป็นที่อยู่ของ cauda equina นั่นเอง
#การวินิจฉัย
ง่ายและชัดเจนสำหรับการวินิจฉัย spondylosis deformans และ DISH คือการเอกซ์เรย์ครับ แต่หากคุณๆต้องการทราบว่ามีการกดทับ neural tissue หรือไม่ก็อาจต้องอาศัย imaging technique ที่ advance กว่านี้เช่น MRI เพราะ MRI สามารถมองเห็น soft tissue ได้ดีกว่า xray
#การรักษา
ยาแก้ปวดอาจมีประโยชน์ในรายที่สัตว์แสดงอาการปวด ในบางครั้งเราอาจต้องทำการผ่าตัดเพื่อแก้ไขภาวะกดทับครับ แต่น้อยรายที่จะไปถึงจุดนั้นนะเอาจริงๆ ยาตระกูล NSAID เป็นที่นิยมมากที่สุดในการลดปวด แต่อ่ะอ่ะอ่ะ…โปรดชั่งน้ำหนักระหว่าง risk - benefit ratio เพราะต้องไม่ลืมว่าในการให้ในขนาดสูงและยาวนานในสัตว์ที่มีอายุมากอาจมีความเสี่ยงต่อภาวะตับพังไตวอดวายและแผลภายในกระเพาะและลำไส้แบบ life-threatening การลดน้ำหนักเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เพราะ effective และมีความปลอดภัยที่จะทำ
สิ่งที่กล่าวถึงทั้งหมดข้างต้นนี้มีการศึกษาถึงประสิทธิภาพมาแล้วในมนุษย์แต่ยังไม่เคยมีการศึกษากันในสุนัข เช่นเดียวกันกับการทำกายภาพบำบัด และศาสตร์ทางเลือกเช่น laser therapy แม้ไม่มีการศึกษาที่ชัดเจนในสุนัขแต่ก็ประสบความสำเร็จในการจัดการพอสมควรจากประสบการณ์ของตัวผมเองและสัตวแพทย์หลายท่าน การผ่าตัดจะกระทำกันใน DISH เพื่อ decompression ในรายที่ดื้อต่อ conservative therapy หรือมีปัญหา neurological deficits ครับ
#บทสรุปส่งท้าย
- spondylosis deformans และขั้นกว่าคือ diffuse idiopathic skeletal hyperostosis (DISH) เป็นโรคที่วินิจฉัยง่ายๆด้วยภาพถ่ายรังสี
- การก่อปัญหาทางคลินิกนั้น DISH จะเป็นปัญหามากกว่าเพราะมีโอกาสที่จะกดเยื่อหุ้มกระดูก เนื้อเยื่ออ่อน และ neural tissue มากกว่า
- การพยายามผูกกันระหว่าง spondylosis deformans กับ IVDD อาจมีความสัมพันธ์กันจริง หรือไม่สัมพันธ์กันเลยก็ได้ ข้อสันหลังที่มี spondylosis deformans อาจเป็นข้อเดียวกันที่เกิด type II IVDD หรือไม่ใช่ก็ได้ อาการปวดหลังของสัตว์ที่พบ spondylosis deformans อาจเพราะ type I IVDD ที่เกิดที่ข้ออื่นร่วมด้วยแต่ไม่เห็นจากภาพเอกซ์เรย์ก็ได้
- การรักษาเน้น conservative มากกว่า surgery จบ..
.

 #เอาสายอ๊อกจ่อ  #ส่งรอในตู้หรือจะสู้ High Flow Oxygen Therapy ( )ผมเชื่อว่าชื่อเรื่องน่าจะสื่อความตามท้องเรื่อง อันจะกล...
06/11/2024

#เอาสายอ๊อกจ่อ #ส่งรอในตู้หรือจะสู้ High Flow Oxygen Therapy ( )
ผมเชื่อว่าชื่อเรื่องน่าจะสื่อความตามท้องเรื่อง อันจะกล่าวเขื่องถึงเรื่อง high flow oxygen therapy กันในวันนี้ครับ คุณๆอาจเคยได้ยินได้ฟังมาบ้างถึงวิธีการให้ออกซิเจนในรูปแบบนี้ หรือบางคนอาจร้อง ฮ่ะ!! มันคืออะไรกันฉันไม่เคยได้สดับ วันนี้ผมจะสาธยายให้จับใจ (ความ) ได้ตามแบบฉบับ VetSikkha (ที่นานๆจะออกที) ครับ
ผมเชื่อว่าหมอๆทุกคนไม่มีใครที่ไม่เคยให้ oxygen กับสัตว์ป่วย (ยกเว้นกรณีไม่มีออกซิเจนที่สถานประกอบการ ซึ่งผมคิดเอาเองว่าเป็นส่วนน้อย) ตั้งแต่ผ่านยุค COVID-19 ความแพร่หลายของเครื่อง oxygen condensor นั้นไม่เพียงมีในเกือบจะทุกสถานประกอบการทางสัตวแพทย์ แต่ยังเลยเถิดเข้าไปในหลายๆบ้านของเจ้าสี่ขา ไม่ว่าจะใช้เพื่อประโยชน์ของคนหรือของสัตว์ก็ตาม การให้ออกซิเจนแบบเบๆที่หลายๆคนเข้าใจ เช่น การเอาสายออกซิเจนจ่อจมูก เปิดออกซิเจนในอัตราเร็วที่ 5-8 L/min ที่เรียกกันว่า “flow-by” เป็นวิธีที่โคตรจะสามัญ เราๆท่านๆทำกันบ่อยๆในห้องตรวจเมื่อมีสัตว์อาการวิกฤตเข้ามาปรึกษา จับจ่อจมูกเอาไว้รอท่า ให้เราได้มีโอกาสถามไถ่ประวัติความเป็นมา พร้อมกับให้เวลาพี่ๆพยาบาลได้จัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ให้พร้อมสรรพสำหรับปฏิบัติการในลำดับต่อๆไป
นอกจากการจ่อดม การประยุกต์ใช้กรวยกระดาษ หรือ mask สำหรับดมยาที่เอายางครอบสีดำๆออก หวังผลให้ความเข้มข้นของออกซิเจน focus มากที่สุดที่รอบๆจมูกและปากโดยที่ไม่ทำให้สัตว์รู้สึก stress มากจนเกินไป ออกซิเจนจะได้ไม่กระจัดกระจายไปให้หูให้หางดมแทนที่จะเข้าจมูกหรือปากเพื่อสูดดม คงจะทำให้เราประหยัดอัตราการเปิดออกซิเจนที่มีอยู่อย่างจำกัดได้บ้างไม่มากก็น้อย
กับการประยุกต์ใช้ Elisabethan collar ในการสร้าง zone ที่จำกัดก๊าซออกซิเจนที่ถูกปล่อยออกมาจากสาย ให้เข้มข้นที่สุดบริเวณศีรษะ เพราะ opening ด้านหน้าเราหุ้มห่อด้วย kitchen wrap ที่ยืมแม่มาปิดให้มีช่องเปิดด้านบนสัก 20-30% เหตุผลเพื่อระบายก๊าซ CO2 และความชื้น humid ออกนอก collar ได้สะดวก วิธีการนี้ practical กับสัตว์ตัวโตสักหน่อยครับ อาจเพราะหาตู้ออกซิเจนที่จะให้สุนัข 20 กิโลเข้าไปอยู่ได้แบบไม่อึดอัดท่าจะยากส์
แต่หากเป็นเจ้าเหมียวหรือหมา size กลางถึงเล็ก หลายคนชอบจับเข้าตู้ออกซิเจนที่ในสมัยก่อนประดิษฐ์กันเองในบ้านเราพัฒนาต่อยอดจนสามารถใช้งานได้เป็นอย่างดี จนในวันนี้มาถึงยุคที่มีตู้ออกซิเจนที่สำเร็จรูป well disigns สามารถควบคุม parameter ต่างๆได้อย่างเบ็ดเสร็จ ในราคาที่สมศักดิ์ศรี ตู้แบบนี้ดีกับสัตว์ที่เครียดง่าย แต่จุดด้อยสำคัญคือ เมื่อเข้าในตู้แล้วการเข้าไปปฏิบัติการ ตรวจติดตามต่างๆ กระทำได้ยาก เพราะหากต้องเปิดประตูตู้ ก๊าซออกซิเจนที่กักไว้ก็จะเทไหลออกอย่างรวดเร็วจนอากาศในตู้กับภายนอกตู้แทบจะมีออกซิเจนไม่ต่างกันคือ 21% สัตว์จากที่ดีๆอยู่ก็อาจทรุดลงได้โดยพลัน เพราะปรับตัวไม่ทันกับความเข้มข้นออกซิเจนที่ swing ขึ้นลง
มาถึงวิธีสุดท้ายที่ดูจะพระเอ๊กพระเอกที่สุดละสำหรับการให้ออกซิเจนแบบที่คุณๆคุ้นเคย คือการสอด intranasal catheter โดยปลาย cath กะๆไว้ให้อยู่ในโพรงจมูก หรือเลยลึกเข้าไปถึง nasopharynx การให้ด้วยวิธีนี้ดีกว่าทั้งในแง่ปริมาณออกซิเจนที่สิ้นเปลืองน้อย แนะนำทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 0.1-0.2 L/kg/min และยังทำให้เราสามารถเข้าปฏิบัติการกับตัวสัตว์ได้สบายๆ แต่อาจไม่เหมาะกับสัตว์ที่เครียดง่าย เพราะหัตถการการ place catheter ก็เครียดอยู่พอดู และจุดบอดอีกอันที่พบได้คือหากสัตว์อ้าปากหายใจแทนที่จะให้อากาศที่ไหลผ่านจมูก ออกซิเจนที่เข้าปอดก็จะถูก dilute ด้วย 21% oxygen air หรืออากาศปกติที่บาง literature เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “entrainment” เราจึงไม่สามารถทำให้ค่า FiO2 สูงได้ตามความคาดหวัง อันปรากฏเป็นความล้มเหลวในการให้ออกซิเจนในรูปแบบนี้ทำให้สัตว์ป่วยอาจเกิดภาวะ hypoxia ทั้งๆที่ให้ใน flow rate ที่ถูกต้องนั่นเอง
ทั้งหมดที่กล่าวมาเสียยืดยาวอยู่ในหมวด Low flow oxygen therapy หรือบางคนเรียกว่า traditional หรือ conventional oxygen therapy ซึ่งไม่ใช่วัตถุประสงค์หลักที่ผมจะเล่าให้ฟังในวันนี้ครับ ผมตั้งใจจะเล่าให้ฟังถึง high flow oxygen therapy (HFOT) แต่ก็ต้องเกริ่นรูปแบบเดิมๆของการให้ออกซิเจนให้คุณๆพอเข้าใจก่อน เอาหละถึงเวลาเข้าประเด็นแล้วครับ เรามาอ่านต่อกันเลย
High flow oxygen therapy คืออะไร
ว่ากันว่าในคนมีการใช้ HFOT มานานกว่า 20 ปีแล้วและเพิ่งได้รับความสนใจนำมาใช้ในสัตว์เมื่อไม่เกิน 10 ปีมานี้เองในต่างประเทศ เจ้า HFOT นั้นอันที่จริงคือการให้ออกซิเจนรูปแบบหนึ่งที่สามารถเปิด flow rate ได้สูงกว่าแบบเก่า กล่าวคือเปิดในอัตรา 4-60 L/min เมื่อเทียบกับแบบเก่าที่ไม่เกิน 25 L/min เครื่องสามารถส่ง oxygen flow rate ได้เท่าหรือมากกว่าปริมาณอากาศที่ร่างกายต้องการในการหายใจเข้าต่อหนึ่งนาที (minute ventilation) เลย หลายคนอาจคิดว่าจริงๆ oxygen flow rate ที่เราใช้อยู่ที่โรงพยาบาลก็อาจเปิดได้สูงแบบนี้เหมือนกันหนิ ใช่ครับแต่จุดต่างสำคัญคือตัวเครื่อง HFOT นั้นมีความสามารถในการ humidify และ warm อากาศขาเข้าได้เพิ่มเติม แถมยังสามารถปรับความเข้มข้นออกซิเจน (FiO2) ได้ตามที่เราต้องการ ด้วยการ mix oxygen กับ medical air เข้าด้วยกันทำให้สัตว์ป่วย tolerate กับการให้ออกซิเจนในอัตราสูงได้ดีกว่าการให้ออกซิเจนแบบ conventional
ผมเชื่อว่าคุณๆหลายคนคงเคยเจอเคสหายใจไม่ออกอาจด้วยภาวะปอดบวม (อักเสบ) (pneumonia) ก็ดี สำลักอาหาร (aspiration pnneumonia) ก็ดี ที่เราพยายามช่วยด้วยการให้ออกซิเจนในรูปแบบต่างๆในรูปแบบ conventional อย่างเต็มที่แล้ว ทั้งให้อยู่ตู้ออกซิเจนแล้วเปิดออกซิเจน 10 L/m เพิ่มการใส่ท่อ intranasal catheter ร่วมด้วยอีกต่างหาก แต่แล้วนางก็เกิดอาการอ้าปากหายใจ ดูท่าเหยียดคอเต็มที่ ตาลอย ท่าจะไม่ไหว จะให้ไปต่อที่ mechanical ventilator ก็ดูจะเรื่องยาว เจ้าของจะ effort ไม่ไหว หายนะทั้งสัตว์ป่วย ทั้งเจ้าของและเงินในกระเป๋าของเขา ทั้งทีมสัตวแพทย์และพยาบาลก็คงต้องนั่งเฝ้าข้ามวันข้ามคืน จนผมเองบ่อยเข้าเคยคิดว่าน่าจะมีวิธีการให้ออกซิเจนที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ แบบยังไม่ค่อยอยากให้สัตว์สอดท่อต่อเครื่องช่วยหายใจเลย
และแล้วมันก็มี คุณๆที่อาจนึกไม่ออกว่า HFOT มันทำงานอย่างไร หากรู้จัก CPAP (Continuous Positive Airway Pressure) ที่คนที่มีปัญหาการนอน (sleep apnea) คือชอบหายใจไม่ออกตอนนอนหลับสนิท อาจเพราะลิ้นไก่อุดหลอดลม ที่มักเกิดในคนที่ overweight มากๆ หรือแก่ตัวแล้วเพดานอ่อนก็หย่อนตัว เครื่อง CPAP จะทำงานด้วยการผลักลม flow เข้าปากหรือจมูกเราด้วยแรงดันบวกตลอดเวลา ผลทำให้เราผ่อนแรงในการหายใจเข้าได้มาก และลดโอกาสการอุดตันที่คอหอยได้ เจ้าเครื่อง HFOT ทำงานประมาณกันหากแต่สามารถเพิ่มความเข้มข้นของออกซิเจนได้ด้วยตามแต่ที่จะปรับ ผลคือจะสามารถผ่อนแรงสัตว์ป่วยในการหายใจเข้า สัตว์ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอมากขึ้นพร้อมกับอาจลด PCO2 ลงได้ด้วยเพราะลมแรงดันบวกจะช่วย clear dead space ไล่ก๊าซ CO2 ที่ตกค้างอยู่ใน airway ที่ไม่ได้รับการแลกเปลี่ยน แทนที่ด้วย oxygenated air นอกจากนี้ลมบวกยังอาจทำให้เกิด positive end expiratory pressure (PEEP) ในถุงลมได้ ลดปัญหาปอดแฟบได้อีกต่างหาก
เป็นที่น่าเสียดายที่เจ้าเครื่อง HFOT ในปัจจุบันนั้นไม่ได้ถูก design มาสำหรับ veterinary patients โดยเฉพาะเราประยุกต์จากของคนมาใช้ ตัวเครื่องมืออาจไม่ได้แตกต่างกันโดยหลักการ แต่ด้วยตัว nasal canale หรือ nasal prongs ที่เราใช้ในคน อาจเหมาะกับเฉพาะสุนัขที่มีขนาดตัว (ขนาดจมูก) ใกล้เคียงกับเด็ก หรือผู้ใหญ่เท่านั้น ลืมไปเลยสำหรับแมวเพราะหาอุปกรณ์ที่มีขนาดเหมาะเจาะยากยิ่ง เมื่อเรา modify จากอุปกรณ์ของคน จึงต้องมีการ adapt ในหลายเรื่องครับ โดยเฉพาะการทำอย่างไรให้ nasal prongs นั้นติดอยู่กับจมูกของสุนัขตลอดเวลา ขนาด diameter ของท่อที่แหย่เข้ารูจมูกต้องไม่ใหญ่เกิน 50% ของขนาดช่องรูจมูก เพราะเราต้องมีช่องว่างเพียงพอที่สัตว์จะหายใจออกด้วย สัตว์อาจต้องใน E.collar เพื่อลดโอกาสการเอาเขาเกี่ยวสายออกซิเจนออก อาจมีบางรายที่ต้องการการ sedation โดยอาจใช้ butorphanol ในขนาด 0.2 mg/kg แล้วบางรายอาจต้องต่อด้วยการ CRI หรืออาจ add dexmedetomidine หากไม่มี contraindication แต่อย่างงี้นะครับโดยส่วนมาก สัตว์ป่วยกลุ่มนี้มักสภาพไม่ไหวจะเคลียร์อยู่แล้ว ตัวนางยังจะเอาตัวไม่รอดจึงไม่มีแรงที่จะต่อต้านใดๆครับ การใช้ยากลุ่ม sedation นี้จึงมักไม่มีความจำเป็น
เราจะเริ่มต้น set เครื่องอย่างไร
เพราะเป็นอุปกรณ์ที่ค่อนข้างใหม่สำหรับวงการสัตวแพทย์ เราจึงมัก extrapolate คำแนะนำการใช้งานจากของคน และหลายครั้งที่มาจากประสบการณ์การเรียนรู้ของผู้ที่เคยใช้อุปกรณ์มาก่อนครับ อาทิ การปรับค่าตั้งต้น FiO2 อาจเริ่มที่ 100% อุณหภูมิอยู่ในช่วง 34-38 ºC ผู้เชี่ยวชาญบางท่านแนะนำที่ 37 ºC ขณะที่บางท่านอ้างถึงงานวิจัยในมนุษย์ที่พบว่าการใช้อุณหภูมิที่ต่ำกว่าสักหน่อยคนไข้จะรู้สึกสบายกว่า ค่า flow rate อาจ set ที่ 0.5 - 2 L/kg/min หรืออาจให้เท่ากับค่า minute ventilation ของสัตว์ป่วยก่อนและค่อยๆปรับให้สูงขึ้นตามความต้องการโดยดูจากการตอบสนองของสัตว์ป่วยเป็นสสำคัญ
เราจะตรวจติดตามอะไร อย่างไรบ้าง
เราหวังเห็น improvement หลังเริ่มให้ HFOT ประมาณ 30 - 60 นาที การตรวจติดตามค่า arterial หรือ venous blood gas ถือเป็น ideal โดยอาจร่วมกับการประเมิน pulse oximeter เพื่อประเมินระดับ oxygen ที่สัตว์ป่วยได้รับ
เราควรตรวจตำแหน่งของ nasal prongs อยู่เสมอๆว่ามีความเหมาะสมอยู่หรือไม่ มี sign ของการระคายเคืองไหม นอกจากนี้การตรวจสัญญาณชีพโดยทั่วไป อาทิ RR และ effort การหายใจ อุณหภูมิ และอัตราเต้นของหัวใจ คลื่นไฟฟ้าหัวใจ มีประโยชน์ในการประเมินสภาพของสัตว์ป่วยอย่างแน่นอน
อย่าลืมป้ายเจลน้ำตาเทียมเพื่อป้องกันการระคายเคืองและการแผลที่กระจกตา เราอาจต้อง set ตารางพลิกท่าสัตว์ป่วยโดยเฉพาะในรายที่ไม่ขยับตัวได้เอง เพื่อป้องกันปอดแฟบและแผลกดทับ การทำ PROM (passive range of motion) มีความจำเป็นเพื่อป้องกันการยึดของข้อและการฝ่อลีบของกล้ามเนื้อพร้อมทั้งจะเพิ่มการไหลเวียนของเลือดได้อีกด้วย นอกจากนี้ให้ระมัดระวังการขยายตัวของกระเพาะอาหารที่อาจเกิดขึ้นจากการอัด positive pressure เข้าจมูก หากมีปัญหาใดๆที่เกี่ยวเนื่องจาก HFOT หรือสัตวป่วยไม่สามารถ tolerate ได้หรือตอบสนองได้ไม่ดี การปรับเปลี่ยนไปใช้ mechanical ventilator ก็จะเป็นทางออกสุดท้าย
เมื่อไหร่ที่เราจะเลิกใช้เครื่อง HFOT
ตอบง่ายๆคือเมื่อเห็นว่าสัตว์ป่วยดีขึ้น แต่การพิจารณาอาจต้องดูหลายๆอย่างประกอบกัน การ wean HFOT คงไม่ต่างจากการ wean การให้ออกซิเจนตามปกติ เราทำได้สองแบบคือ การลดค่า FiO2 ก่อนหรือการลด flow rate ก่อนก็ได้เมื่อค่อยๆลดลงอย่างช้าๆ เราควรติดตามสัญญาชีพและค่าออกซิเจนของสัตว์อย่างต่อเนื่อง หากสัตว์ปรับตัวได้ดีจึงค่อยๆ wean จนอาจกลับมาอยู่ที่ conventional oxygen therapy ก่อนสักระยะ แล้วจึงค่อยๆ wean การให้ออกซิเจนอย่างสมบูรณ์ต่อไป แต่หากสัตว์ปรับตัวไม่ได้ก็ให้กลับไปใช้การให้ออกซิเจนด้วยวิธีก่อนหน้าที่สัตว์ยังดูโอเคอีก 12-24 ชั่งโมงแล้วค่อยมาว่ากันใหม่
สรุปสุดท้าย ส่วนตัวผมเห็นว่าไม่น่าเกิน 5 ปีนับจากนี้ที่การให้ออกซิเจนด้วย HFOT น่าจะมีความแพร่หลายมากขึ้นในวงการสัตวแพทย์ในประเทศไทย บทความนี้เป็นเพียง introduction หรือน้ำจิ้มนะครับเพื่อให้คุณๆพอจะเห็นภาพของการให้ออกซิเจนด้วยวิธีนี้ อนาคตหากมีความแพร่หลายและมี study ที่ทำในสัตว์ป่วยจริงมากขึ้นกว่านี้ เราอาจมี guideline ที่ solid ขึ้นที่จะให้คำแนะนำที่เหมาะสมในการใช้งาน HPOT ได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันครับ ใครที่เคยใช้แล้วสามารถ comment เล่าเรื่องราว share ประสบการณ์กันได้เลยครับ ช่วยกันช่วยกันเพื่อคุณภาพการรักษาพยาบาลแก่เจ้าสี่ขาที่พูดไม่ได้ให้มีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น อยู่เป็นขวัญกำลังใจให้พ่อๆแม่ๆของมันอีกนิด ก็ยังดี

Picture Source:
1) https://bmcvetres.biomedcentral.com/articles/10.1186/s12917-023-03737-7,
2) https://journals.sagepub.com/doi/10.1177/1098612X241249837?icid=int.sj-abstract.similar-articles.3,
3) https://todaysveterinarynurse.com/emergency-medicine-critical-care/veterinary-high-flow-oxygen-therapy/

20 สิ่งดีๆที่ควรจดจำสำหรับ client communication for vet1. ว่ากันเรื่องอาการคัน การให้เจ้าของช่วย grade ว่าคันเบอร์ไหนจาก...
31/07/2024

20 สิ่งดีๆที่ควรจดจำสำหรับ client communication for vet

1. ว่ากันเรื่องอาการคัน การให้เจ้าของช่วย grade ว่าคันเบอร์ไหนจากคะแนนเต็ม 10 จะช่วยในการติดตามอาการได้ดีขึ้นเมื่อ revisit
2. สร้าง “ตารางให้ยา” สำหรับเคมีบำบัดให้กับเจ้าของ เพื่อให้เค้ารู้ว่าควรให้ยาตัวไหน เมื่อไหร่บ้าง และเก็บสำเนาเอาไว้ด้วยเพื่อใช้อ้างอิง
3. การ monitor ที่ดีที่สุดสำหรับโรคหัวใจและระบบทางเดินหายใจคือการวัดอัตราการหายใจ (respiratory rate: RR) ที่บ้าน ขณะพัก (นอนหลับ) ค่าปกติจะอยู่ประมาณ 10-20 ถ้ามากกว่า 30 คือเริ่มไม่ปกติแล้ว ถ้าเกิน 40 คือเริ่มอันตราย
4. เวลาคุยเรื่องแนวทางการรักษาและผลลัพธ์การรักษา อย่าลืมแจ้งเสมอว่า ผลลัพธ์ของการไม่ทำอะไรเลย (ไม่รักษา; no action) จะเป็นยังไง
5. ยังความซี่อสัตย์และจริงใจกับเจ้าของเสมอ ถ้าเราไม่คุ้นกับชนิดสัตว์หรือ condition ที่เจ็บป่วยจริงๆ เราอาจแนะนำผู้ที่เชี่ยวชาญมากกว่าเราให้กับเค้า เพราะความจริงคือไม่มีใครเชี่ยวชาญในทุกเรื่อง เจ้าของจะเคารพในความจริงใจของเรา
6. ฟังสิ่งที่เจ้าของสัตว์บอกเสมอ- เจ้าของรู้จักสัตว์เลี้ยงของเขาดีกว่าเรา ถ้าเขารู้สึกว่าสัตว์เลี้ยงแสดงอาการแปลกๆแต่เราตรวจร่างกายแล้วไม่พบอะไร จงอย่ามองข้ามความกังวลนั้นด้วยคำพูดที่ว่า “ไม่เป็นอะไรหรอก ไม่มีอะไรผิดปกติ” แต่ควรตรวจอย่างอื่นที่ละเอียดต่อ เช่น ตรวจเลือด ปัสสาวะ หรือติดตามอาการอย่างใกล้ชิดหรือนัดเข้ามาดูใหม่ใกล้ๆหากยังดูผิดปกติอยู่
7. หากสัตว์ฟื้นจากการวางยาสลบ สำคัญมากๆครับที่จะโทรแจ้งเจ้าของว่าสัตว์เขาฟื้นแล้ว เจ้าของจะประทับใจมาก อันนี้ผมว่าใจเขาใจเรา เพราะทุกคนย่อมมีอารมณ์ลุ้น กังวลและอึดอัดใจขณะสัตว์เลี้ยงที่รักต้องเข้าห้องผ่าตัดและดมยาสลบ
8. อย่าถอนฟันหากยังไม่ได้บอกเจ้าของ เค้ากังวลว่าสัตว์จะปวดทรมานและกินอาหารลำบากเมื่อถูกถอนฟัน ดังนั้นต้องมั่นใจครับว่าก่อนถอนฟันแจ้งเค้าและเค้ารับทราบแล้วหรือยัง
9. การที่สามารถจดจำชื่อเจ้าของสัตว์และสัตว์เลี้ยงของเขาได้ เป็นการแสดงออกถึงการให้ความสำคัญกับเค้า เจ้าของและสัตว์เลี้ยงมักพึงพอใจในสิ่งนี้
10. เมื่อต้องบีบต่อมก้นและแน่นอนว่าต้องทิ้งถังขยะในห้องตรวจ โปรดนำถุงขยะนั้นออกไปทิ้งเสียเลย เพราะกลิ่นมันจะคงอยู่ในห้องจนทำให้เจ้าของรายต่อไปรู้สึกแย่
11. เมื่อต้องทำหัตถการใดๆกับตัวสัตว์ เช่น เจาะเลือด บีบต่อมก้น ล้างหู ก่อนส่งตัวกลับตรวจสอบซ้ำอีกครั้งว่าเจ้าขนเฟอร์ตัวสะอาด ไม่เลอะคราบเลือดที่แขน ไม่มีกลิ่นต่อมก้นติดตัวกลับออกไป หน้าไม่แฉะ

12. ทำความสะอาดหวีสำหรับหมัดหรือกรวยหรืออุปกรณ์ส่องหูต่อหน้าเจ้าของสัตว์รายต่อไปก่อนใช้ทุกครั้ง
13. หากมีเสียงกรีดร้องของสุนัขและแมวจากวอร์ด ควรอธิบายหรือแจ้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนวอร์ดให้เจ้าของสัตว์ที่โถงนั่งรอทราบ เพื่อให้เค้าแน่ใจว่าไม่ได้มีอะไรรุนแรงเกิดขึ้น
14. บอกเจ้าของสัตว์เสมอนะครับว่าต้องรอนานแค่ไหนสำหรับผลเลือดหรือผลเซลล์
15. ควรมีกล่องกระดาษทิชชูในห้อง consult เสมอ
16. ควรมีทีมต้อนรับที่คอยอธิบายหรือขอโทษลูกค้ากรณีที่ run case ไม่ทันทำให้สายหรือไม่ตรงเวลาตามนัด
17. ตอนสุดท้ายก่อนสิ้นสุดการ consult จะดีมากๆหากจบด้วยคำถามว่า “มีคำถามหรือข้อสงสัยตรงจุดไหนไหม” เจ้าของมักพอใจครับเพราะเราได้เปิดโอกาสให้เค้าได้ไขข้อข้องใจหรือได้ข้อสรุปในประเด็นที่ยังไม่ชัดเจน
18. ถ้าคุณมีนักศึกษาหรือนิสิตฝึกงาน ควรแนะนำตัวพวกเขากับเจ้าของสัตว์ มันเป็นสิ่งที่สุภาพที่จะช่วยให้นักศึกษาหรือนิสิตเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการสนทนา
19. หากคุณมีนักศึกษาหรือนิสิตที่ติดตามคุณ โปรดขออนุญาตเจ้าของสัตว์ก่อนที่จะให้นิสิต นักศึกษาเข้าปฏิบัติการใดๆกับตัวสัตว์ป่วย เช่นการตรวจร่างกายหรือทำหัตถการอื่นๆ
20. การไหว้เป็นสัญลักษณ์ของการแสดงการทักทายด้วยไมตรีของไทย อาจเป็นความเคารพซึ่งกันในฐานะเพื่อนมนุษย์ที่พึ่งพาอาศัยกัน อาจเป็นการแสดงถึงความอ่อนน้อมถ่อมตนอันเป็นหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ 10 ประการ เราสามารถแสดงการไหว้เจ้าของสัตว์ได้แม้เขาจะมีอายุน้อย เท่ากัน หรือมากกว่าเรา ผมเป็นผู้หนึ่งที่ไหว้แม้ตอนพบเจอหรือตอนจากลากับเจ้าของสัตว์ทุกคนแบบไม่เขินอาย เพราะทำด้วยความสุขและด้วยความเชื่อว่า หากอยากได้ความเคารพรักจากใครควรที่จะให้เขาก่อน
เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งที่ผมนำมาจากประสบการส่วนตัวและหนังสือที่หยิบมาอ่านเล่มหนึ่ง จริงๆยังมีอีกหลายข้อเสนอที่อ่านแล้วยิ้มมุมปาก หาอ่านกันต่อได้นะครับที่หนังสือที่มีชื่อว่า “The pocket book of small animal tips for vets” ที่เขียนโดย Jade Statt ตีพิมพ์ในปี 2014 ครับ

03/07/2024

Medical record ถือเป็นหัวใจสำคัญในหลักฐานทางการแพทย์ที่จำเป็นที่เราในฐานะสัตวแพทย์ต้องใส่ใจที่จะลงรายละเอียดที่มากพอในการสื่อสารระหว่างกันและเพื่อเก็บเป็นหลักฐานทางกฏหมาย การเขียนบรรยายอันยืดยาวเพื่อให้เกิดความกระจ่างในการสื่อสารทั้งต่อตนเองในภายหน้าและผู้อื่นที่ร่วมทีม แต่ก็อาจทำให้เสียเวลาอันมีค่าไปมากมาย การใช้ตัวย่อทางการแพทย์จึงมีความสำคัญในจุดนี้ เพราะจะเข้ามาช่วยในการประหยัดเวลาในการลงประวัติและสร้างความเข้าใจที่ตรงกันในระหว่าง medical team ได้อีกด้วย
ผมทำงานในหลายๆที่ร่วมกับสัตวแพทย์ที่จบมาจากหลากสถาบันทำให้เห็นตัวย่อใน medical record ที่ทั้งเดาได้และเดาไม่ออกในหลายๆหน จึงเป็นที่มาที่อยากจะเอามาตรฐานหนึ่งคือ AAHA ของสหรัฐอเมริกามาเผยแพร่ เผื่อว่าคุณๆจะนำไปปรับใช้ในชีวิตการทำงานนะครับ ตัวย่อเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ถูกดึงออกจากจากทั้งหมดที่มีมากกว่านี้อีกหลายเท่า เพียงแต่ 150 ตัวย่อนี้ผมเห็นว่าน่าจะใช้กันได้บ่อยในการลงประวัติครับ ที่เหลือนอกจากนี้อาจเป็นชื่อโรคที่จำเพาะบ้าง การบอกส่วนต่างๆของอวัยวะบ้าง ซึ่งหลายอันค่อนข้างจำเพาะกับคลินิกเฉพาะทาง ใครสนใจไปหาอ่านเพิ่มเติมกันเอาเองนะครับ

150 ตัวย่อที่น่าสนใจในการเขียน medical record ตามที่ถูกบัญญัติในคู่มือ Standard Abbreviation for Veterinary Medical Records ปี 2010 โดย AAHA

Abd = abdomen
ABG = arterial blood gas
Abx = antibiotics
AD = Auris dextra, right ear
Amp = ampule
App = appetite
Appt = appointment
AS = Auris sinistra, left ear
AU = Auris utraque, both ears
BA = bile acid
BAR = Bright, alert, responsive
BARH = Bright, alert, responsive, hydrated
BCS = Body condition score
BDLD = Big dog little dog (trauma syndrome)
BE = Barium e***a
BG = Blood glucose
Bld = Blood
BM = Bowel movement
bol = Bolus, a large single dose
BP = Blood pressure
BPM = Beats per minute
BW = Body weight
Bx = Biopsy
Ca = Carcinoma
CAH = Chronic active hepatitis
CCL = Cranial cruciate ligament
CCS = Canine Cushing syndrome
CF = Coxofemoral
CHF = Congestive heart failure
CPR = Cardioipulmonary resuscitation
CRI = Constant rate infusion
CRT = Capillary refill time
C/S = Coughing/sneezing
C&S = Culture and sensitivity
C-spine = Cervical spine
CV = Cardiovascular
CVP = Central venous pressure
DA2PP = Distemper, Adenovirus type 2, Parainfluenza, Parvovirus
DA2PPL = Distemper, Adenovirus type 2, Parainfluenza, Parvovirus, Leptospirosis
DDx = Differential diagnosis
DNR = Do not resuscitation
DOA = Dead on arrival
Dx = Diagnosis
Dz = Disease
ECG = Electrocardiogram
Echo = Echocardiography
E Collar = Elizabethan collar
EENT = Eyes, ears, nose, throat
EOD = Every other day ~ qod
EOW = Every other week
ET = Endotracheal tube
Euth = Euthanize
Ext = Extract
FAD = Flea allergic dermatitis
FB = Foreign body
Fel = Feline
FLK = Fentanyl, lidocaine, ketamine
FNA = Fine needle aspiration
FNB = Fine needle biopsy
FS = Spayed female
F/W = Food and water
Fx = Fracture
FxC = Fracture closed
FxO = Fracture open
gtt(s) = Gutta(e), drop(s)
HBC = Hit by car
H/L = heart and lungs
hs = Hora somni, at bedtime
Hx = History
HyperAC = Hyperadrenocorticism
INB = if no better, if not better
Inj = Injection, injectable
IV cath = Intravenous catheter
Jt = joint
Jug cath = Jugular catheter
K9 = Canine
LAE = Left atrial enlargement
LDVM = Local veterinarian
LF = left front
Lg = Large
LPL = Left pelvic limb
L-spine = Lumbar spine
LTL = Left thoracic limb
Lux = Luxation
Lytes = Electrolytes
MN = Neutered male
NC = No change
NCTC = No charge to client
NE = No eating
NED = No evidence of disease
NOS = No ova seen (ไม่พบไข่พยาธิ)
NOSF = no other significant findings
NPL = No palpebral lesion
NR = Not remarkable
NSF = No significant findings
NSL = No significant lesions
NVL = No visible lesions
Ô = Owner
OVH = Ovariohysterectomy (~OHE)
PE = Physical exam
PH = Pulmonary hypertension
PHx = Past history
PMI = Point of maximum intensity
PO = Per os, by mouth
PostOp = Postoperative
PreOp = Preoperative
prn = Pro re nata, as needed
PTS = Put to sleep ~ Euth
Px = Prognosis
q = Quaque, every
QAR = Quiet, alert, responsive
QARH = Quiet, alert responsive, hydrated
qd = Once daily, every day
qid = Four times per day
qod = Every other day (EOD)
Rads = Radiography ~ Xray
RDVM = Referring veterinarian
Rec = Recommend, recommendation
RO = Rule out
ROM = Range of motion
Rx = Prescription, prescribed
SC = Subcutaneous ~ SQ
SID = Semel in die, Once a day
Sig = Instruction on prescription label
SR = Suture removal
Stat = Statim, immediately
STT = Schirmer tear test
Sx = Surgery
tab(s) = Tablet(s)
TC = Telephone call (team member called owner: ~ ÔC)
TGH = To go home
TGTSx = To go to surgery
tid = Ter in die, three times a day
TNTC = too numerous to count
TPR, Temperature, pulse, respiration
T-spine = Thoracic spine
TTTP = Too tense to palpate (Abd palpation)
Tx = Treatment
U Cath = Urinary cathter
US = Ultrasound
Vacc = Vaccination ~ Vx
VBG = Venous blood gas
V/C/S Vomiting, coughing, and sneezing
V/D = Vomiting and diarrhea
Vit = Vitamin
VS = Vital signs
Vx = Vaccination
WNL = Within normal limits
Wt = Weight
Xray = Radiograph

กาลครั้งหนึ่งกับ Ursodeoxycholic acid (UDCA)    วันนี้ผมอยากชวนคุณๆอ่านประวัติศาสตร์ของ ursodeoxycholic acid (UDCA) หรือ...
28/06/2024

กาลครั้งหนึ่งกับ Ursodeoxycholic acid (UDCA)

วันนี้ผมอยากชวนคุณๆอ่านประวัติศาสตร์ของ ursodeoxycholic acid (UDCA) หรือ ursodial ที่หลายๆท่านคุ้นเคยกันนะครับ ผมว่า UDCA เป็นหนึ่งในยาที่ถูกใช้กันบ่อยมากๆโดยเฉพาะกรณีโรคตับและโรคระบบน้ำดี น้อยคนที่จะทราบถึงที่มาที่ไปว่ามันมีความลึกล้ำเหลือกำหนดแค่ไหน เอาหละจะมากจะน้อยเพียงไรเชิญคุณๆอ่านกันนะขอรับ
UDCA ถูกใช้มานานมากกก (ก.ไก่ร้อยตัว) เรียกได้ว่าเป็นศตวรรษมาแล้วในแพทย์แผนจีนโบราณ (Traditional Chinese Medicine) เพื่อการรักษาโรคตับ โดยคนจีนเรียกยาจีนชนิดนี้ว่า “yutan” มีลักษณะเป็นรูปแบบยาผง (powder) ที่ถูกเตรียมจากน้ำดีของ “หมีโตเต็มวัย” ที่มาทำให้แห้งครับ
ในปี 1902 Hammarsten ได้รายงานการพบกรดน้ำดี (unknown bile acid) ที่ไม่ทราบชนิดในน้ำดีหมีขั้วโลก (polar bear) เป็นครั้งแรก ซึ่งเขาเรียกมันว่า “ursocholeinic acid” และอีก 25 ปีต่อมาคือในปี 1927 Shoda ได้รายงานถึง รูปแบบทางเคมีของ UDCA จากน้ำดีของหมีดำในจีน (Chinese black bear) Shoda ตั้งชื่อว่า “ursodeoxycholic acid” เพราะมันถูกพบครั้งแรกในหมี และคำว่า “ursus” เป็นภาษาละตินที่แปลว่าหมี และเขามีความเชื่อว่า UDCA นี้เป็น isomer นึงของ deoxycholic acid (กรดน้ำดีของเราๆท่านๆนี่แหละ) ต่อมาในปี 1936 Iwasaki ได้ค้นพบโครงสร้างทางเคมี (chemical structure) ที่ชัดเจนของ UDCA อันนำไปสู่ความสามารถในการสังเคราะห์สารชนิดนี้ขึ้นเพื่อประโยชน์ในการศึกษาและการใช้ในทางคลินิกในที่สุด
ต่อมาในปี 1975 Makino รายงานเป็นครั้งแรกถึงการศึกษาแบบ prospective ถึงการใช้ UDCA ในคนไข้ที่ป่วยด้วยโรคนิ่วในถุงน้ำดี และพบว่าสามารถสลายนิ่วดังกล่าวได้ด้วย และในอีก 10 ปีต่อมา (1985) Leuschner ได้รายงานเป็นครั้งแรกว่าผลการตรวจเกี่ยวกับตับ (liver tests) นั้นดีขึ้นหลังใช้ UDCA เพื่อการสลายนิ่วในถุงน้ำดีในคนไข้ที่ป่วยด้วยภาวะ chronic active hepatitis สองปีต่อมีคือในปี 1987 Poupon พบว่าการใช้ UDCA ในระยะยาวมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในคนไข้ที่ป่วยด้วยภาวะ primary biliary cirrhosis (PBC) ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมามีการศึกษาตามมาอีกมากมายและหลากหลายที่แสดงถึงประโยชน์ของ UDCA ในกลุ่มอาการโรคตับทั้งหลาย จนในปัจจุบันถือว่า UDCA มีบทบาทสำคัญในการรักษาโรคตับที่มีภาวะคั่งของน้ำดีและ UDCA เป็นยาเพียงชนิดเดียวที่ได้รับการ approved โดย US FDA เพื่อการรักษาโรค PBC ในมนุษย์
(ที่มา: Wang and Wu, 2017; in Liver Pathophysiology)
ในสุนัขและแมว เราใช้ UDCA ในการรักษาโรคตับเช่นกันโดยเฉพาะโรคตับที่มีความเกี่ยวข้องกับระบบน้ำดี UDCA มีประสิทธิภาพเป็นน้ำดีชนิดดี (good bile acid) ที่ส่งเสริมการไหลของน้ำดีในระบบท่อน้ำดี (choleretic) ช่วยให้ตับสามารถขจัดน้ำดีชนิดเลว (toxic bile acids) และสารพิษต่างๆที่อาศัยน้ำดีเป็นทางในการขับทิ้งให้ไหลออกไปสู่ลำไส้เล็กและขับทิ้งทางอุจจาระได้มากขึ้น นอกจากนี้ UDCA ยังเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับลำไส้ในการแย่งการถูกดูดกลับ (reabsorb) มาเพื่อการ recycle กรดน้ำดีทำให้เพิ่มการขับทิ้งกรดน้ำดีชนิดเลวที่เกิดจากการถูกเปลี่ยนรูปโดยแบคทีเรียในลำไส้ไปกับอุจจาระ ไม่กลับมาทำร้ายตับอีกต่อไป
นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพบว่า UDCA ไม่ได้ limit แต่เพียงเรื่องการขับน้ำดีเท่านั้นแต่พบว่ามันยังมีผลต่อระบบภูมิคุ้นกันและสามารถลดการอักเสบของตับลงได้ในรายตับแข็ง (cirrhosis) และตับอักเสบเรื้อรัง chronic active hepatitis อีกด้วย
เขาพบว่า UDCA มีประสิทธิภาพในการลดระดับ plasma cholesterol ได้ทั้งในคนและสัตว์ จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ UDCA จะถูกนำมาประกอบการรักษาภาวะ hypercholesterolemia ได้
การใช้ UDCA เป็นเวลานานในแมวอาจส่งผลให้แมวเกิดภาวะขาดกรดอะมิโนจำเป็น taurine ได้ ดังนั้นเราอาจต้องเสริม taurine ในแมวหากต้องใช้ UDCA แบบยาวๆ ขณะที่ในสุนัขเป็น species ที่มีความสามารถในการสร้าง taurine ได้เองมากกว่าแมว การขาด taurine ดังกล่าวจึงไม่ค่อยจะเป็นปัญหาในสุนัขครับ นี่แหละที่เขาเรียกว่า แมวไม่ใช่สุนัขตัวเล็ก (และสุนัขก็ไม่ใช่คนตัวเล็กเช่นกัน)
อย่างไรก็ตามอาจมีข้อจำกัดในการใช้ยาร่วมกันอยู่บ้างครับ เราควรหลีกเลี่ยงการให้ยา UDCA พร้อมๆกับกลุ่มยาลดกรด เคลือบกระเพาะที่มีองค์ประกอบของ aluminum เช่น alummilk เพราะอาจมีการจับกันของ aluminum กับ UDCA ทำให้ลดประสิทธิภาพของยาลง
ยาดีราคาถูก หาซื้อง่าย แต่ก็ไม่ได้ปลอดภัย 100% นะครับ (ไม่มียาไหนในโลกใบนี้ที่ปลอดผลข้างเคียง) แม้ UDCA จะมีรายงานน้อยมากๆที่จะเกิดผลข้างเคียงกับสัตว์ จะมีเพียงน้อยรายจริงๆที่อาจมีอาการคลื่นไส้ได้ อันนี้คือขออนุญาตอุ๊บอิ๊บว่าเป็นการให้ตามขนาดที่เหมาะสมเท่านั้นนะครับ เพราะหากให้เกินขนาดไปมากๆปัญหาผลข้างเคียงที่ว่าน้อยก็อาจเกิดขึ้นได้บ่อยกว่าที่คิด
โปรดขอคำปรึกษาจากสัตวแพทย์ (ตัวจริง) ถึงการใช้ยาอย่างถูกต้องเพื่อความปลอดภัยของเด็กๆนะครับ หมอที่ให้การรักษาย่อมจะรู้ดีที่สุดว่าอะไรเหมาะสมกับน้องและไม่เป็นอันตรายต่อพวกเขาในระยะยาว


โปรดช่วยกันคนละไม้ละมือให้ปัญหาเหล่านี้ค่อยๆหมดไปจากสังคมไทย ด้วยการให้ความรู้กับประชาชนอย่างถูกต้อง ความรู้ความเข้าใจจะ...
20/06/2024

โปรดช่วยกันคนละไม้ละมือให้ปัญหาเหล่านี้ค่อยๆหมดไปจากสังคมไทย ด้วยการให้ความรู้กับประชาชนอย่างถูกต้อง ความรู้ความเข้าใจจะช่วยเป็นเกราะป้องกันภัยที่ดีที่สุด เมื่อเจ้าของสัตว์มีความรู้ก็จะเกิดพลังแห่งปัญญาอันเข้มแข็ง เหล่าเพื่อน 4 ขาของเราก็จะได้รับการดูแลและรักษาตรงตามหลักวิชาการทางการแพทย์

ใครที่ตามดราม่าน้องแมวนมโตอยู่
ถามหมอมาหลังไมค์ นี่เลยมาอัพเดทให้กันในโพสต์นี้

หลังจากที่น้องตัดก้อนเนื้อที่นมไป รอบสอง ตอนนี้ก้อนที่นมกลับมาขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิมไปอีก!! สงสารแมวมาก เจ้าของได้ติดต่อขอความช่วยเหลือมาผ่านทางคุณหมอปศุสัตว์จังหวัด ตอนนี้คุณหมอตุล ที่เคยเสนอขอรับเคสมาดูแล กำลังดำเนินการรับน้องมาค่ะ

📌สรุปหมอจริงมั้ย?
คนผ่าตัดไม่ใช่หมอ100% เป็นคนธรรมดา ที่ไม่ได้เป็นหมอปศุสัตว์ หรือสัตวแพทย์ชั้น2 ด้วยซ้ำ แต่ชาวบ้านเรียกกันว่าหมอ เพราะรับทำตามบ้านมาหลายปี คิดเงินราคาถูก

📌ทำไมถึงไม่หาย?
นมใหญ่ไม่ใช่มะเร็งเสมอไป เป็นจากฮอร์โมน หรือติดเชื้ออักเสบก็ได้
จะรู้ได้โดยต้องเอาเซลล์ไปตรวจก่อน

📍ถ้ามะเร็ง/เนื้องอก ค่อยตัด (ก็ต้องตัดแบบถูกวิธีด้วย ไม่ใช่แค่หย่อมๆก้อนแบบนั้นนะ)
📍ถ้าจากฮอร์โมน ทำหมัน +/- ใช้ยา

เคสน้องแมวตัวนี้หมอๆดูจากรอยโรค ลักษณะก้อน ไม่น่าคล้ายมะเร็ง เนื้องอกเลย แล้วเป็นไง หมอเถื่อนตัดไปแล้วรอบสอง สุดท้าย ก็ขึ้นมาใหม่ แถมใหญ่กว่าเดิมไปด้วย ยังดี๊ที่ไม่ให้คีโมซ้ำไปอีก ตับไตน้องแมวพังหมดแน่ ถ้าแค่มองแล้วรักษาได้ง่ายขนาดนี้ หมอๆจะเรียนมาทำไมถึง6ปี ละเน้อ.. 😅

⚠️ช่วยกันแชร์ เตือนเป็นอุทาหรณ์ หยุดวงจรหมอเถื่อนกันเถอะ
หมอตามบ้านรักษาถูกจ่ายไม่กี่ตังค์แต่ผลกรรมตกอยู่กับหมาแมว เราๆคนเลี้ยงจะหลงทำบาปไม่รู้ตัว

💥วงจรหมอเถื่อน หากินแบบรักษามั่วๆยังงี้
เราคงไปห้ามเค้าไม่ให้ทำไม่ได้ แต่ช่วยกันได้โดยการเลิกสนับสนุนนะ

เข้าใจว่าอยู่พื้นที่ห่างไกล บางคนมีข้อจำกัดเรื่องงบ แนะนำปรึกษารพส. คลินิก ที่มีสัตวแพทย์(จริงๆ)ดูก่อน หรือตามเพจหมอมีเยอะแยะ ถ้าไม่ไหวติดยังไง ค่อยหาทางออกจะดีกว่านะคะ

📌โพสต์เรื่องราวก่อนหน้าที่เป็นดราม่า
https://www.facebook.com/share/jG4CkdBYrmisA6Ls/?mibextid=qtnXGe

📌นมใหญ่ไม่ใช่มะเร็งเสมอไป โพสต์ความรู้แน่นๆจากอาจารย์ตามนี้เลย
https://www.facebook.com/share/p/4vkntMty79KeTeAx/?mibextid=qtnXGe

Address


Website

Alerts

Be the first to know and let us send you an email when VetSikkha posts news and promotions. Your email address will not be used for any other purpose, and you can unsubscribe at any time.

Contact The Business

Send a message to VetSikkha:

Videos

Shortcuts

  • Address
  • Alerts
  • Contact The Business
  • Videos
  • Claim ownership or report listing
  • Want your business to be the top-listed Pet Store/pet Service?

Share

VetSikkha’s Story

คำว่า VetSikkha มีที่มาจากคำว่า Vet อันหมายถึงสัตวแพทย์ และ Sikkha เป็นภาษาบาลีที่เขียนเป็นคำไทยว่า สิกขา หมายถึง ศึกษา FB page จึงก่อตั้งขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้และแลกเปลี่ยนความรู้ในหมู่วิชาชีพสัตวแพทย์เพื่อสร้างความเข้มแข็งของประเทศในด้านโรค การวินิจฉัย การรักษา และการดูแลสุขอนามัยของสัตว์เลี้ยงที่เน้นโดยเฉพาะกับสุนัขและแมวครับ